ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งครับ ที่ใช้ชีวิตมีสาระบ้าง ไร้สาระบ้างไปวันๆ ก่อนที่จะเข้าโครงการอบรมธรรมทายาทภาคฤดูร้อนของวัดพระธรรมกาย โดยวันๆ นึงผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่า ตื่น..กิน..เรียน..นอน ยิ่งเรื่องการบวชเรียนยิ่งไม่เคยอยู่ในหัวของผมเลย ขณะที่คุณแม่ก็พยายามชวนผมบวชอยู่บ่อยๆ เนื่องจากตอนเด็ก ผมเป็นโรคที่เป็นหนักมาก คุณยายก็เลยไปบนกับพระแถวบ้าน ว่าถ้าผมหายป่วย จะให้บวชเป็นการแก้บน (อ้าว = =”””) ซึ่งคุณแม่ก็กลัวว่า ถ้าบนแล้วไม่แก้ จะมีผลร้ายตามมา เลยชวนผมบวชตั้งแต่อยู่ชั้น ม.๑ จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย ผลัดไปทุกๆ ปี ผมก็ยังไม่ได้บวช
จนผมได้เข้าชมรมเล็กๆ ในมหาวิทยาลัย เป็นชมรมที่มีสมาชิกอยู่ไม่กี่คน ชื่อชมรมว่า R&DTC [Research and Develop Technology Culture] เป็นชมรมเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง พี่ๆ ชมรมมักพูดเสมอว่า “ตอนนี้เราดึงศักยภาพมาใช้เพียงแค่ไม่ถึง 10% เท่านั้น ถ้าเราพัฒนาศักยภาพของเรา โดยการนั่งสมาธิ ทำบทฝึกของชมรมเรื่อยๆ ศักยภาพของเรา ก็จะมากขึ้นเอง”
นั่นฟังดูอาจจะไม่ค่อยน่าเชื่อนะครับ แรกๆ ผมก็ยังไม่เชื่อเหมือนกัน ว่าฝึกสมาธิจะมาพัฒนาอะไร ได้ยังไง ก็แค่นั่งหลับตา.. ผมค้านพี่ๆ ในชมรม เลยไม่ค่อยชอบนั่งสมาธิเท่าไหร่ พอเขานั่งสมาธิกัน ผมก็จะออกมาข้างนอก รอจนพวกเขานั่งเสร็จ ถึงจะเข้าไปทำงานชมรมต่อ พอพวกพี่ๆ เห็นผมเป็นอย่างนี้ก็เลยชวนผมว่า “น้องปั๊บ ลองไปบวชดู เผื่อจะได้รู้อะไรมากขึ้น” คำพูดนี้เป็นคำพูดที่สะกิดใจผมมาก ว่าที่พี่เขาพูดมันคืออะไร
ตอนที่พี่เขาชวน ผมก็ยิ้ม ไม่ได้ตอบปฏิเสธหรือตกลงอะไรไป แต่ในใจเริ่มคิดที่จะบวชแล้ว ผมคิดว่าเป็นการบวชที่คุ้มนะครับ ได้หลายอย่างเลย เพราะบวชครั้งนี้ ได้แก้บน เรียนธรรมะ บวชให้พ่อแม่ และตามหาคำตอบว่าอะไร คืออะไร
อย่างแรกที่ผมต้องเตรียมตัวก่อนที่จะได้บวชคือ การหาวัด โดยผมมีหลักว่า ต้องหาวัดที่ สามารถฝึกพระให้เป็นพระแท้ได้ และก็มีธรรมะดีๆ ไว้ให้เรียน จากนั้นผมก็เปิดอินเทอร์เน็ตหา (ในเน็ตไม่ค่อยมีเรื่องแบบนี้เลย แปลกจริงๆ) ผมเลยไปปรึกษากับพี่ชมรมที่เคยบวชมาแล้ว เขาบอกว่า “พี่เคยบวชที่วัดพระธรรมกายนะ ดีมากเลย ฝึกตัวได้อย่างดี” และเนื่องจากไม่รู้จะไปถามใครได้อีกแล้ว ก็เลยตกลงบวชวัดนี้ ด้วยการเริ่มไปวัด กรอกใบสมัคร เข้าสัมภาษณ์ ส่วนสิ่งที่เหลือ คือต้องรอเวลาที่ให้ถึงวันเข้าโครงการอย่างเดียว
พอปิดเทอมช่วง Summer ที่เป็นเวลาเข้าโครงการ วันที่ 23 มีนาคม 2553 ผมแบกกระเป๋าใบเล็กๆ เข้าโครงการอบรม ในกระเป๋ามีเพียงแค่ ชุดขาวล้วน 2 ชุด กับอุปกรณ์อาบน้ำ เป็นของน้อยชิ้นที่สุด สำหรับการมาอยู่นอกบ้านถึง 3 เดือน โดยวันแรกที่เข้าโครงการ เป็นธรรมดาของทุกคนที่ต้องหาเพื่อน ซึ่งผมได้คุยกับเพื่อนที่เข้าโครงการด้วยกันหลายคน แต่ละคนมีเป้าหมายคล้ายๆ กัน คือบวชเพื่อค้นหาตัวเอง ฝึกฝนตนเอง ตามหาความจริงในชีวิต และก็อยากรู้ว่าบวชมันมีอะไร
ผมดีใจนะครับ ที่ได้เพื่อนที่มีเป้าหมายเดียวกันหลายคน ทำให้เราสนิทกันเร็ว เข้ากันได้ง่ายดี
อีกไม่กี่วันถัดมา พระอาจารย์ในโครงการไม่รอช้า จัดพิธีปลงผมขึ้น โดยให้เหตุผลว่า เพื่อปลดกังวล ตัวผมเองก็อยากโกนอยู่เหมือนกัน พอโกนเสร็จปุ๊บ โอ้โห!! โล่ง สบาย เย็นหัวมากเลยครับ ซึ่งผมก็ทำอะไรถนัดมากขึ้น จะวิ่ง จะทำอะไร เส้นผมไม่มาทิ่มตาแล้ว
การเข้าโครงการนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมชาวพุทธ ตั้งแต่การลุก นั่ง กราบ ไหว้ การปัด กวาด เช็ด ถู ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องใกล้ตัว ง่ายๆ แต่ที่นี่สอนเทคนิค ให้ทำได้สะอาดเกินสะอาด เรียบร้อยเกินเรียบร้อย และกว่าพวกผมจะได้บวชกัน ก็ถือว่าฝึกตัวหนักเอาการ
พอถึงวันบวช ครอบครัวผมก็มาร่วมพิธี ได้กราบขอขมา ทำเอาผมน้ำตาร่วงไปเลยครับ ผมปลื้มปิติมากที่ชีวิตนี้ ได้ห่มผ้าเหลือง ใส่แล้วรู้สึกดี เย็นอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อบวชแล้วในทุกๆ วัน เราได้ทำกิจกรรมของบรรพชิตกันครับ นั่นก็คือ การสวดมนต์ นั่งสมาธิและก็เรียนธรรมะ ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งติดใจ ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ ที่ทำให้ได้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมถึงคุณของบิดามารดา ญาติสนิท มิตรสหาย สัมพันธชนทั้งหลาย การนั่งสมาธิทำให้ผมได้นึกถึงตัวเอง ได้ทบทวนตัวเอง ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน และการเรียนธรรมะที่เหมือนจะธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาตามหลักสูตรของที่วัดพระธรรมกาย ทำให้ผมติดใจ จนไม่อยากจะสึกออกมาเลยครับ โดยเฉพาะการนั่งสมาธิ ที่แต่ก่อนผมไม่ชอบ ได้ฟังคำเทศน์สอนของพระอาจารย์ที่กล่าวถึงอานิสงส์ของการนั่งสมาธิ ทำให้ผมอยากนั่งขึ้นมา และก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้นั่ง เป็นความสุขที่หาจากที่ไหนไม่ได้เลยนะครับ เป็นความสุขที่ทำได้ง่ายๆ เกิดขึ้นที่ตัวเราเอง แต่ดูเหมือนหลายคนบนโลกใบนี้ มองข้ามมันไป
สุดท้ายนี้ผมขอเชิญชวนวัยรุ่นทุกคนนะครับ สำหรับใครที่ยังไม่เคยบวชหรืออยากจะบวชอยู่แล้ว ก็ขอให้รีบบวชนะครับ
เพราะวัยรุ่น ยังเป็นวัยที่แข็งแรง ยังทำอะไรได้สะดวก ไม่ปวดไม่เมื่อย ไม่เหมือนวัยผู้ใหญ่นะครับ ที่ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ปวดซะแล้ว ..