วันหนึ่งขณะที่เด็กอายุ๑๖ อย่างฉันกำลังขมักเขม้นกับการเล่น facebook และ msn เหมือนกับเด็กๆ ส่วนใหญ่ที่มีคอมพิวเตอร์ใช้ คุณแม่ก็ส่งคลิปการสอนเพศศึกษาในเรื่องของการทำแท้งที่ประเทศอังกฤษมาให้ดู
ฉันเห็นภาพบรรยากาศในห้องเรียนซึ่งเด็กรุ่นเดียวกันหรืออาจจะน้อยกว่าฉันแสดงความคิดเห็นกันอย่างเต็มที่ และมีคุณครูท่าทางใจดีที่คอยรับฟังทุกคนและอธิบายต่อยอดจากความเห็นของแต่ละคน
ฉันไม่สามารถเห็นบรรยากาศแบบนี้ในห้องเรียนซึ่งฉันเรียนอยู่ได้เลย ยิ่งเป็นในวิชาเพศศึกษาด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ เพราะแค่ตัววิชาเองยังไม่มีในหลักสูตรด้วยซ้ำ และวิชาสุขศึกษาก็มัวสอนแต่เรื่องร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่เคยเรียนตั้งแต่สมัยประถมแล้ว ยิ่งดูคลิปวิดีโอนี้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งอิจฉามากขึ้น เพราะเขายังมีศูนย์ให้คำปรึกษาเรื่องเพศที่เหมาะกับวัยรุ่น ซึ่งพร้อมจะบอกทางเลือก และให้ข้อมูลที่เป็นจริงทุกอย่างกับผู้ที่ไปรับบริการ โดยเขายังเน้นที่ความเป็นกันเองเพื่อให้วัยรุ่นสบายใจอีกด้วย
ฉันย้อนกลับมาดูในประเทศของเรา ซึ่งขณะนี้กำลังมีข่าวพบซากเด็กทารกจากการทำแท้งสองพันกว่าชิ้น ข่าวที่ออกมานี้ย้ำความจริงแก่เราว่า มีผู้ที่ทำแท้งมากเท่าไหร่ และความต้องการทำแท้งนั้นก็ยังมีอยู่เสมอๆ แสดงให้เห็นถึงจำนวนของเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน และไม่ได้ต้องการให้ท้อง ทั้งๆ ที่เป็นประเทศที่มียอดทำแท้งมากกว่าสองแสนรายต่อปี แต่น่าแปลกที่ในประเทศไทยมีกฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้เพียงสองกรณี ไม่ต้องพูดถึงทัศนคติต่อผู้ที่ท้องแล้วไปทำแท้งเลยว่าจะถูกกล่าวหามากขนาดไหน ยิ่งเป็นเด็กวัยรุ่นยิ่งถูกมองว่าเป็น “เด็กใจแตก” ถึงขั้นพ่อแม่ไล่ออกจากบ้าน โดนกดดันให้ออกจากโรงเรียน หรือเพื่อนเลิกคบกันเลยทีเดียว
เราให้เหตุผลว่าการทำแท้งนั้นเป็นบาป ผิดศีลธรรม คนไหนทำจะโดนตราหน้าว่าเป็นหญิงใจบาป แต่อย่าลืมว่าขอบเขตศีลธรรมของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน สมควรหรือที่เราจะยึดเอาศีลธรรมอย่างหนึ่งกับคนทั้งประเทศ?
และแม้ว่าเราจะเป็นเด็กวัยรุ่น ต้องโดนให้ออกจากโรงเรียน ไม่พร้อมทางด้านฐานะที่จะเลี้ยงดูเด็ก และอาจเป็นปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตต่อไปในอนาคต ไม่มีวุฒิภาวะพอและสภาพจิตใจไม่พร้อมจะเป็นแม่ แต่เราต้องทนตั้งท้องและคลอดลูก เพียงเพราะมันเป็นบาป เลยไม่สามารถจะทำแท้งอย่างถูกกฎหมายได้งั้นหรือ?
แล้วต่อให้วัยรุ่นที่พร้อมที่จะมีลูกจริงๆ แล้วใครที่ไหนจะกล้าท้องออกไปให้สังคมเห็น ในเมื่อโดนจัดประเภทเป็น “เด็กใจแตก” ไปแล้ว ?
เมื่อรัฐบาลพบคลินิกรับทำแท้งเถื่อนก็บุกทำลายคลินิก เมื่อพบซากเด็กทารกก็ตามหาผู้ให้บริการทำแท้งเถื่อน แต่ไม่เคยเห็นว่าปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงอะไร และควรจะแก้ปัญหาที่ตรงไหน หากวันหนึ่งที่คลินิกทำแท้งเถื่อนหมดไป เราคงต้องทำแท้งด้วยตัวเอง แล้วแบบนั้นจะไม่อันตรายมากกว่าอีกหรือ?
ฉันเคยสัมผัสความกังวลว่าจะตั้งท้องจากเพื่อนวัยเดียวกันคนหนึ่ง ฉันได้กลิ่นของความกดดันในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นถ้าท้องขึ้นมาจริงๆ แล้วจะทำยังไงต่อไป พ่อแม่จะว่ายังไง เพื่อนจะมองแบบไหน สังคมจะมองว่าเป็นคนยังไง โรงเรียนจะไล่ออกหรือไม่ มันเป็นความกดดันมหาศาลเกินกว่าที่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งจะรับเอาไว้คนเดียวได้ และแน่นอนว่าเพื่อนของฉันไม่ได้อยากจะให้มีปัญหานี้ขึ้นมาเลย มันเป็นเพียงเพราะความไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงการป้องกันการท้อง
แล้วปัญหานี้จะโทษใครได้?
ในเมื่อโรงเรียนก็ไม่เคยคิดที่จะสอนอย่างจริงจัง พ่อแม่ก็คิดว่าการสอนเพศศึกษาเป็นการชี้โพรงให้กระรอก แล้วหากสนใจใคร่จะหาความรู้เองก็ยิ่งโดนมองว่า “หมกมุ่น” ในกาม แล้วความรู้ที่ได้มานั้นก็รับประกันไม่ได้เลยว่าจะผิดหรือถูก
ที่สังคมคอยบอกเราคือเป็นผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ทั้งที่ในสมัยพุทธกาลนั้น ตอนอายุเท่าฉันพระพุทธเจ้าท่านก็แต่งงานแล้ว มันเป็นเรื่องแสนธรรมดาของฮอร์โมนส์ในวัยนี้ที่เราจะสนใจเรื่องเพศ เมื่อถูกกีดกันและเกิดปัญหาขึ้น เพื่อนฉันก็แค่ต้องการคนที่จะให้คำปรึกษา ให้ข้อมูลที่เป็นจริง และเสนอทางเลือกให้เธอได้ ไม่ดุด่า และซ้ำเติมในการกระทำของเธอ ซึ่งในประเทศนี้ก็หาคนเช่นนั้นยากเหลือเกิน
หลายครั้งที่ฉันต้องกลับมาทบทวนถึงค่านิยมของสังคมเรา ซึ่งเรามักจะมองว่าคนที่มีปัญหาแบบนั้นแบบนี้ไม่ดี เป็นปัญหาต่อสังคม ทำให้สังคมเสื่อมโทรม แล้วเราได้คิดหรือเปล่าว่าเพราะอะไรเขาถึงมีปัญหา เป็นเพราะสังคมด้วยหรือเปล่าที่ทำให้เขาเกิดปัญหาแบบนั้น เราได้ให้ความรู้ข้อเท็จจริงต่อเขาดีและเพียงหรือยัง ปฏิบัติต่อเขาอย่างไร ไม่ใช่แค่ปัญหาของการตั้งท้อง การทำแท้ง แต่ยังรวมไปถึงปัญหาอื่นๆ อีกด้วย
ฉันคอยย้ำตัวเองให้มองให้ลึกและกว้าง ไม่ใช่เพียงผิวเผินแล้วด่วนตัดสิน