ภาพยนตร์ The Cider House Rules ที่ผู้เขียนได้รับชม เล่าเรื่องราวของโฮมเมอร์ ชายหนุ่มที่เติบโตในโรงพยาบาลที่เป็นทั้งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อว่า เซนต์คราวด์ ที่นี่เด็กๆ ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจาก ดร.ลาช นายแพทย์ที่นอกจากทำคลอดและรับเลี้ยงลูกของหญิงที่ไม่พร้อมจะมีบุตรแล้ว ยังรับทำแท้งให้กับครรภ์ที่ไม่พร้อมอีกด้วย
โฮมเมอร์เป็นที่รักเหมือนลูกชายแท้ๆ ของดร.ลาชและเป็นความหวังเดียวที่จะมาเป็นผู้ดูแลสถานที่นี้ต่อ แต่โฮมเมอร์ไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งแม้แต่น้อย ถึงดร.ลาชจะพยายามบอกเสมอว่าหากไม่ทำแท้งให้กับพวกเธอเหล่านั้นในที่สุดพวกเธอก็จะหันไปหาทางเลือกอื่นที่อันตรายกว่า
โฮมเมอร์ได้พบทหารอากาศหนุ่มและแคนดี้แฟนสาวของเขา ซึ่งเขาพาเธอมาทำแท้งที่เซนต์คราวด์ นั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของโฮมเมอร์ โฮมเมอร์ติดตามสองคนนี้เพื่อออกไปใช้ชีวิตและเรียนรู้โลกภายนอกอาณาบริเวณของเซนต์คราวด์ตามที่เขาต้องการ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้พูดถึงกฎตลอดทั้งเรื่อง และทุกประเด็นเต็มไปด้วยความขัดแย้งของผู้คนที่อยู่ภายใต้กฎและตัวของกฎนั้น เมื่อโฮมเมอร์ออกจากเซนต์คราวด์มาเป็นคนงานในไร่แอปเปิลของทหารอากาศหนุ่ม เขาอยู่รวมกับคนงานครอบครัวหนึ่งที่มีมิสเตอร์โรสเป็นหัวหน้าของพวกเขา ภายในบ้านพักของคนงานมีแผ่นกระดาษที่บันทึกกฎกติกาในการอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นติดอยู่ที่ผนัง แต่สำหรับทุกคนที่นั่นมันเป็นเพียงแผ่นกระดาษ ไม่มีความหมายหรือความสำคัญอะไร ในเมื่อคนที่เขียนไม่ได้อยู่และคนที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เป็นคนเขียนกฎนั้น ในความคิดของพวกเขาผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าอะไรควรอะไรไม่ควร และเหมาะที่จะเป็นคนร่างกฎคือผู้ที่อาศัยอยู่จริงในบ้านไม่ใช่หรือ?
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอีกเรื่องคือเรื่องราวความสัมพันธ์ของโฮมเมอร์และแคนดี้ที่เกินเลยขอบเขตศีลธรรมที่คนทั่วไปยอมรับ เพราะฝ่ายหญิงมีคู่รักอยู่แล้ว ทั้งคู่ไม่คิดว่าคือความผิดของตัวเอง แต่เป็นไปเพราะความรัก และสถานการณ์แวดล้อม
เรื่องที่ขัดแย้งกันมากที่สุดระหว่างกฎและผู้ถูกบังคับในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ เรื่องของมิสเตอร์โรส ผู้เป็นพ่อและโรสโรส ลูกสาว มิสเตอร์โรสมีความรักต่อลูกสาวแต่เป็นในลักษณะที่มีความต้องการครอบครองทางร่างกาย ในที่สุดก็เป็นสาเหตุให้ลูกสาวตัวเองตั้งท้อง เรื่องนี้ทั้งสังคมรับไม่ได้ ทั้งผิดศีลธรรม แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดขึ้น มิสเตอร์โรสไม่คิดว่าการกระทำของเขาผิดเช่นกัน เพราะเหตุผลที่เขาทำไปเพราะความรักโดยแท้ แต่เป็นความรักในแบบที่คนอื่นไม่มีวันที่จะเข้าใจได้
ทั้งหมดสะท้อนนัยยะสำคัญเกี่ยวกับประเด็นเรื่องของการทำแท้ง แม้จะพูดกันคนละที สังคมมีความคาดหวังต่างๆ นานารวมทั้งคาดหวังว่าการทำแท้งจะไม่เกิด คาดหวังว่าพ่อแม่ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อการถือกำเนิดของบุตร แต่ความเป็นจริงแล้วทุกคนที่สร้างความคาดหวังนี้ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา
ในประเทศไทยกฎหมายอาญา ได้อนุญาตให้ทำแท้งได้สองกรณี คือกรณีข่มขืนและกรณีเป็นอันตรายต่อสุขภาพหญิงที่ตั้งครรภ์ โดยแพทยสภาก็ได้ออกมาตีความคำว่าสุขภาพให้ชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางให้กับแพทย์ใช้ตัดสิน แต่น่าแปลกที่ผลสำรวจบอกว่าแพทย์ส่วนใหญ่ไม่ยอมทำแท้งให้ แม้จะเข้าเงื่อนไขตามกฎหมายอาญาและข้อบังคับแพทยสภาก็ตาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหญิงที่ต้องการทำแท้งแต่ไม่เข้าข่ายทางกฎหมาย พวกเธอไม่มีทางออกอื่นนอกจากการทำแท้งเถื่อน ซึ่งถ้าโชคดีก็ปลอดภัยแต่ถ้าโชคร้ายก็เท่ากับชีวิต
สังคมยังไม่มีทางออกที่ดีเพียงพอให้กับพวกเธอ นอกจากบอกให้รับผิดชอบต่อการกระทำ ปัญหาที่ตามมาคือถ้าให้เด็กเกิดขึ้นมาบนความไม่พร้อม คุณภาพชีวิตย่อมไม่ดีตามไปด้วย ยกตัวอย่างกรณีที่นอกเหนือจากเด็กสาวที่ตั้งครรภ์ ยังมีกรณีของหญิงที่แต่งงานมีลูกแล้วหลายคน ฐานะค่อนข้างยากจนและรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ เธอประสงค์จะทำแท้งเพราะรู้ว่าไม่มีเงินที่จะสามารถเลี้ยงลูกคนต่อมาได้ กรณีนี้แน่นอนว่าไม่สามารถทำแท้งได้ ทั้งด้วยกฎหมายและกรอบของสังคม ทั้งที่เธอคือคนที่รู้ดีที่สุดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตเมื่อลูกของเธอเกิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นการทำแท้งไม่ใช่ปัญหาของเฉพาะวัยรุ่น แต่หมายรวมถึงผู้หญิงทุกคน
สิ่งที่พวกเธอเหล่านั้นต้องการไม่ใช่การทำแท้งเสรี ซึ่งแปลว่าใครอยากทำแท้งเมื่อไหร่ที่ไหนหรือใครจะทำให้ก็ได้ แต่ต้องการเสรีในการตัดสินใจบนเนื้อตัวและร่างกายของตัวเอง โดยพ้นจากกรอบหรือกฎเกณฑ์บางอย่างจากคนอื่นๆ ที่คอยควบคุมพวกเธออยู่