สมัยผู้เขียนเรียน ม.1 ในห้องเรียนมีเพื่อนกะเทยคนหนึ่งชื่อ ศักดิ์ชัย
ศักดิ์ชัยเป็นกะเทยหน้าตาดี เธอชอบอมลูกอมรสสตรอเบอร์รี่เพื่อให้ริมฝีปากมีสีแดง ชอบรองพื้นด้วยแป้งให้หน้าดูเนียนสวยแล้วเขียนคิ้วให้ใบหน้าดูคมเข้ม ศักดิ์ชัยจึงเป็นนักเรียนที่สวยคนหนึ่งในห้อง ศักดิ์ชัยมีรูปร่างสูงและตัวใหญ่ที่สุดในบรรดานักเรียนชายที่มีอยู่ทั้งหมด 10 คน ท่ามกลางนักเรียนหญิงอีก 33 คนในห้อง
ช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ศักดิ์ชัยมักมีงานโชว์ตัวหรืองานแสดงลิปซิ้งค์ตามเธคกับก๊วนของเธอ เธอมักจะเอามาคุยให้กลุ่มเพื่อนสาวฟัง หรือบางครั้งเธอไปเที่ยวบาร์เกย์ก็มักจะเอามาเล่าให้เพื่อนหญิงในห้องฟัง
ศักดิ์ชัยเป็นคนรักสวยรักงามเช่นเดียวกับกะเทยคนอื่น ๆ กฎระเบียบการไว้ผมเกรียนเมื่อ 30 ปีที่แล้วไม่ปราณีศักดิ์ชัยและเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ เลย
ศักดิ์ชัยเป็นกะเทยที่มีอารมณ์ขัน แม้เธอจะเป็นกะเทยที่พูดจาจัดจ้านไปบ้าง แต่ศักดิ์ชัยก็ทำตัวให้เพื่อนรู้สึกขำ ๆ ด้วยบุคลิกที่จัดจ้านของเธอ แต่บางครั้งก็กลายเป็นที่สะดุดอารมณ์ของคุณครูบางคน
เท่าที่จำได้ การเป็นกะเทยของศักดิ์ชัยอาจจะไม่ค่อยเป็นปัญหากับเพื่อนในห้องมากเท่ากับเป็นปัญหากับคุณครูบางคน สมมติว่ามีครูทั้งหมด 10 คน อาจจะมีครูสัก 1 คนที่รู้สึกว่ากิริยามารยาทของศักดิ์ชัยดูขัดหูขัดตา ในขณะที่ครูที่เหลืออีก 9 คนอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก
ต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับคุณครูท่านหนึ่งที่ทำรุนแรงกับศักดิ์ชัยมากที่สุด
...............................................................................................................................
เมื่อเราขึ้น ม. 2 เด็กผู้ชายหลายคนเริ่มโตเป็นหนุ่มอยากไว้รองทรงแต่โรงเรียนไม่อนุญาต ทางออกของพวกเราคือพอผมเริ่มยาวเราก็ไม่ตัด หรือไม่ก็หันไปตัดทรงอเมริกัน ซึ่งอย่างน้อยก็ดูดีกว่าทรงเกรียน ๆ หรือบางคนก็ไปตัดรองทรงมา แต่ในที่สุดก็ต้องเจอกร้อนผมอยู่ดี
ศักดิ์ชัยก็เช่นกัน วันหนึ่งเธอไปตัดรองทรงมา ในสายตาของครูคือผิดระเบียบ ในที่สุดคุณครูประจำชั้น (ซึ่งเป็นครูผู้หญิงอีกแล้ว) ก็เรียกศักดิ์ชัยไปพบที่ห้องพักครู คุณครูทำโทษศักดิ์ชัยด้วยการกร้อนผมให้แหว่ง ทันทีที่ผมของศักดิ์ชัยถูกตัดจนแหว่ง ศักดิ์ชัยก็ร้องไห้คร่ำครวญ แล้วเธอก็วิ่งกลับมาร้องเสียงดังลั่นในห้องเรียนจนเพื่อน ๆ ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นภาพที่น่าเวทนายิ่ง
เหตุการณ์ไม่จบเท่านั้น คุณครูตามมาคุมสถานการณ์ให้อยู่หมัดถึงในห้อง เมื่อคุณครูเข้ามาในห้องคุณครูตวาดใส่ศักดิ์ชัยด้วยเสียงอันดังว่า
“ศักดิ์ชัย เธอตัดผมผิดระเบียบมาโรงเรียนแล้วยังร้องไห้โวยวายอีก”
บรรยากาศในห้องเรียน “มาคุ” ขึ้นมาทันทีที่จู่ ๆ ก็มีคุณครูประจำชั้นปรากฏกายขึ้นมาในห้องทั้งๆ ที่เวลานี้ไม่ใช่วิชาของคุณครูสักหน่อยศักดิ์ชัยยังคงสะอื้นไม่หยุดคุณครูตามมากระหน่ำซ้ำเติมความเป็นกะเทยของศักดิ์ชัย ณ บัดนั้นว่า
“ศักดิ์ชัย ระหว่างพ่อกับแม่เธอรักใครมากกว่ากัน”
“รักแม่มากกว่า...ครับ” ศักดิ์ชัยตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
“ใช่สิ ... เพราะเธอรักแม่มากกว่า เธอถึงได้โตมาเป็นกะเทยแบบนี้”
นั่นคือการสอบสวนความเป็นกะเทยในห้องเรียนระหว่างครูประจำชั้นผู้เป็นโจทก์กับนักเรียนกะเทยผู้ตกเป็นเหยื่อ เป็นการสอบสวนที่มีเสียงดังกังวานไปทั้งห้องเรียนจนดูราวกับว่าเวลาได้หยุดนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับสะกดนักเรียนทุกคนในห้องให้เงียบกริบราวกับเป็นใบ้ มันเป็นความรุนแรงด้านการใช้ภาษาที่สะเทือนเข้าไปถึงความรู้สึกของนักเรียนผ่านโสตประสาทของทุกคนที่อยู่ในห้องเรียนในวันนั้น
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป เมื่อเราขึ้น ม.3 ศักดิ์ชัยก็หายไปจากห้องเรียน ศักดิ์ชัยไม่ได้มาเรียนอีกเลย ไม่ใช่ว่าศักดิ์ชัยหายสาบสูญไปไหน แต่ศักดิ์ชัยตัดสินใจออกจากระบบโรงเรียน ส่วนหนึ่งคงเนื่องมาจากความกดดันจากครูประจำชั้น ความกดดันจากกฎระเบียบเกรียน ๆ ของโรงเรียน ที่ปฏิเสธไม่ได้คือเหตุการณ์กร้อนผมในวันนั้นและเราก็ไม่ได้ข่าวคราวของศักดิ์ชัยอีกเลย
ทุกครั้งเมื่อมองย้อนกลับไปผู้เขียนรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่คุณครูทำกับศักดิ์ชัยในวันนั้นเลย คำพูดของคุณครูทำให้ศักดิ์ชัยรู้สึกผิดที่รักแม่มากกว่า ทำให้นักเรียนในห้องเข้าใจผิดคิดว่าการรักแม่มากกว่าเป็นความผิด และเข้าใจผิดไปด้วยว่าการรักแม่มากกว่าทำให้คนกลายเป็นกะเทย ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วการรักแม่มากกว่าพ่อไม่ได้ทำให้คน ๆ นั้นเป็นกะเทย เวลาที่สังคมมีความรังเกียจสิ่งใดสังคมก็มักหาสาเหตุต่าง ๆ เอามารองรับความรังเกียจนั้น ทำให้เรายิ่งเข้าใจกะเทยผิดไปจากความเป็นจริงมากขึ้น
วิเคราะห์ความคิดและการกระทำของคุณครู
หลังจากที่ศักดิ์ชัยหายไปจากห้องเรียนในวันนั้นผู้เขียนก็ไม่เคยพบศักดิ์ชัยอีกเลย เราหวังว่าศักดิ์ชัยคงปลอดภัย มีการเจริญเติบโตภายใน มีความมั่นใจในตัวเอง และมีความสุขกับชีวิตที่เลือกเดิน