Loading ...

         บ่ายวันหนึ่ง ฉันเดินเข้าร้านกาแฟชื่อดังใจกลางกรุงเทพมหานคร ระหว่างที่นั่งจิบเครื่องดื่มหอมกรุ่น ต่อมสังเกตพฤติกรรมคนก็เริ่มทำงาน

         ฉันมองไปรอบๆ ร้าน เกินกว่าครึ่งของจำนวนคนในร้านต่างก้มหน้าก้มตาเขี่ยจอสมาร์ทโฟนโดยที่แทบจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาคุยกันเลย ไม่ว่าจะคนที่มากันเป็นคู่หรือมากันเป็นกลุ่ม และแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะนั่งโต๊ะเดียวกันก็ตาม แถมบรรยากาศรอบตัวยังทำให้รู้สึกว่าเหมือนกำแพงบางกั้นอยู่ ฉันย้อนนึกถึงวันที่มือถือยังคงเป็นโนเกีย 3210 ที่ใช้หลักๆ แค่โทรออก รับสาย ส่งข้อความ และมีบ้างที่เล่นเกมงู ทำให้ตระหนักว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

         ยังไงก็มาคนเดียว คงไม่มีใครมายุ่งด้วยหรอก...แล้วฉันก็หยิบจอสัมผัสขึ้นมา (บ้าง) แล้วเปิดเฟสบุ๊คเลื่อนไปเรื่อยๆ ฆ่าเวลาระหว่างจิบกาแฟ พลางคิดเรื่องเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้เปรียบเทียบกับวัยเยาว์ไปพลางๆ

         เมื่อก่อน ตอนที่ฉันยังเป็นเด็กน้อยเสื้อขาว กระโปรงกรมท่า ผมทรงสั้นเสมอติ่ง สมัยที่เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ยังเป็นระบบแอนะล็อก ในวันหนึ่งๆ ฉันและเพื่อนๆ ได้พูดคุยกันมากมาย จนแทบจะจำไม่ได้ว่าเราคุยอะไรกันไปบ้าง พอตกเย็นก็จำได้ว่ามีความรู้สึกระหว่างช่วงเวลาของการรอคอยที่จะได้พบหน้ากันในวันรุ่งขึ้น และยังจำได้อีกว่าบางครั้งก็ต้องจดเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเพื่อนใส่กล่องดินสอก่อนจะนอน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้ามากอย่างปัจจุบัน อีกทั้งค่าโทรศัพท์ก็แพงโข นาทีละ ๓-๕ บาท ถ้าจะยืมพ่อ-แม่ก็เกรงใจท่าน

         ทว่า ในปัจจุบันฉันรู้สึกว่าการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกันของมนุษย์น้อยลง เพราะฉันเห็นว่าวันหนึ่งๆ คนเราใช้ชีวิตอยู่กับหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ไม่ว่าจะที่ไหนๆ หากลองสังเกตดูก็จะพบว่าแทบทุกคนมีหน้าจอสัมผัสเล็กๆ อยู่ติดมือเกือบจะตลอดเวลา ทำให้ใครหลายๆ คนที่อยากจะเข้าไปคุยด้วยอาจเกิดความรู้สึก “เกรงอกเกรงใจ” ที่ต้องเข้าไปขัดจังหวะ หรือกลัวว่าเข้าไปคุยด้วยแล้วเขาอาจจะไม่อยากคุยกับเรา

         ในทางกลับกัน มีคนอีกจำนวนหนึ่งที่พูดคุย ถามไถ่ตามปกติ แต่กลับกลายเป็นคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบจากคนที่พวกเขาอยากคุยด้วย หลายครั้งหลายหนที่ฉันเห็นสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าโรงเรียนมัธยมในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนที่คุณแม่จะถามไถ่ถึงการใช้ชีวิตของลูกๆ ในโรงเรียน แต่ลูกๆ ก็ก้มหน้าก้มตาเขี่ยหน้าจอสัมผัส ช่วงเวลาอาหารเย็นของสมาชิกชมรมที่รุ่นพี่ถามไถ่ถึงความคืบหน้าของงานแสดง แต่รุ่นน้องก็ก้มหน้าก้มตาเขี่ยหน้าจอสัมผัส หรือแม้แต่ช่วงเวลาที่ทำงานกลุ่มที่เพื่อนคนหนึ่งถามความคิดเห็น แต่เพื่อนคนอื่นในกลุ่มก็ก้มหน้าก้มตาเขี่ยหน้าจอสัมผัส

         เมื่อคนส่วนใหญ่ในสังคมอยู่กับโลกออนไลน์ ธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่อยากเป็นแกะดำ รวมถึงไม่อยากถูกมองว่าเป็นแกะดำบางส่วน จึงเลือกที่จะหันไปพึ่งเจ้าหน้าจอสัมผัส ก้มหน้าก้มตา ต่างคนต่างเขี่ย เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกประดักประเดิดท่ามกลางมวลชนในยุคดิจิทัล และฉันก็ยอมรับว่าหลายครั้งที่ฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น

         หลังจากที่เครื่องดื่มหอมกรุ่นของฉันหมดแก้ว สติที่ขบคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ก็กลับมา ฉันลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกจากร้าน มีเสียงหนึ่งเรียกฉัน ทำให้ฉันหันกลับไปมองต้นตอของเสียงนั้น...

         เธอบอกว่า “ฉันเห็นแกนั่งจิ้มมือถือตลอด ก็เลยไม่รู้จะทักดี ไม่ทักดี”



ความคิดเห็นที่  1

บางทีก้อรู้สึกเหงานะ เวลาที่แฟนเอาแต่นั่งรูดหน้าจออยู่นั่นแหละ เค้าว่าดูงานตามข่าวสารบ้านเมือง  เราเองก้อหันมารูดของเรามั่ง ก้อเลยอดคุยกัน ทั้งๆที่มีธุระต้องคุย ลืมมมไปเลยว่าจะคุยไรกันแน่ะ

Krittika  Pokagorn   (3 มีนาคม 2557  เวลา 08:52:19)