กลายเป็นข่าวที่สร้างความงุนงงทันทีเมื่อ พระเกษม อาจิณณสีโล เจ้าอาวาสวัดสามแยก จ.เพชรบูรณ์ ออกมาเปิดเผยกับสื่อด้วยตนเองโดยไม่รอให้ใครเป็นโจทก์ฟ้องร้องขึ้นมาก่อนว่าตนมีสัมพันธ์ทางเพศกับลูกศิษย์ชายผู้ใกล้ชิด หลังจากนั้นไม่กี่วันพระเกษมได้ลาสิกขาด้วยตนเองโดยนุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรมเป็นอุบาสกสิ่งที่น่างุนงงคลุมเครือไปกว่านั้นก็คือ อดีตพระเกษม หรือปัจจุบันคือนายเกษม ดวงแพงมาต ในวัย 54 ปีได้ออกมาเปิดใจให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อหลายสำนักว่าเขามีสัมพันธ์ทางเพศกับลูกศิษย์โดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ลูกศิษย์ชายผู้ใช้นามแฝงว่า ต่อ ออกมาให้สัมภาษณ์ตรงกันว่าขณะเกิดเหตุพระเกษมมีอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนพระเกษมคนเดิม พระเกษมมีกำลังแรงมากจนตนเองขัดขืนไม่ไหวถูกร่วมเพศจนสำเร็จกิจ
เกษมเปิดเผยว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานหนึ่งปีแล้ววันหนึ่งเขารู้สึกเมื่อยจึงให้นายต่อซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดเข้าไปนวดให้ จากนั้นพระเกษมมีอาการชัก เกร็ง กระตุก ลูกศิษย์คือนายต่อซึ่งกำลังนวดได้เข้าช่วยเหลือแต่กลับกลายเป็นถูกพระเกษมในเวลานั้นกระโดดขึ้นคร่อมจนสำเร็จการมีเพศสัมพันธ์ซึ่งเกษมรู้ตัวภายหลังเมื่อได้กระทำสำเร็จกิจไปแล้ว
หลังจากที่มีเพศสัมพันธ์กันในครั้งแรกต่อรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและรู้สึกผิด ต่อจึงหนีหายไปจากพระเกษมเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร ต่อจึงไปสอบถามผู้รู้เพื่อขอคำรับรองว่าพระเกษมเป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่ ซึ่งก็ได้รับการยืนยันจากผู้รู้ท่านนั้นว่าพระเกษมเป็นพระอรหันต์จริง
หลังจากหายไปประมาณ 1 สัปดาห์ต่อทำใจได้และยังเข้าใจว่าพระเกษมในเวลานั้นเป็นพระอรหันต์ ต่อจึงกลับมาปรนนิบัติรับใช้พระเกษมเช่นเดิม แต่ในที่สุดการกลับมารับใช้พระเกษมก็ทำให้เขามีสัมพันธ์ทางเพศกับพระเกษมอีกประมาณสิบกว่าครั้งในรูปแบบเดิมคือถูกพระเกษมมีอาการไม่ปกติขึ้นคร่อมจนสำเร็จทำให้เขารู้สึกผิดบาปไปด้วยแม้จะไม่ได้มีเจตนาร่วม ต่อจึงขอให้พระเกษมเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสาธารณะเพราะเขากลัวบาป
ในที่สุดพระเกษมจึงออกมาเปิดเผยกับสาธารณะว่าตนเองมีสัมพันธ์ทางเพศกับลูกศิษย์จริงแต่กระทำไปโดยขาดสติไม่รู้สึกตัวแล้วอ้างข้อยกเว้นในวินัยบัญญัติว่าหากภิกษุกระทำไปโดยไม่รู้สึกตัวย่อมไม่เป็นอาบัติมาตั้งเป็นประเด็นนั่นจึงสร้างความงุนงงสงสัยให้กับสาธารณะยิ่งขึ้นว่าเป็นไปได้หรือที่คนเรามีเพศสัมพันธ์แล้วไม่รู้สึกตัว
เมื่อเรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ทางหน้าหนังสือพิมพ์กระแสของสังคมเริ่มตั้งคำถามอย่างหนัก พระเกษมจึงทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าครั้งแรก ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นตนไม่รู้ตัวจริง ๆ แต่เมื่อผ่านไปหลายครั้งเข้าเริ่มรู้ตัวมากขึ้น แต่เนื่องจากที่ผ่านมาตนยังสามารถเข้าฌานทำสมาธิได้ตามปกติจึงคิดว่าตนมิได้ทำผิดอะไรเพราะหากตนเองทำผิดจริงผลของฌานสมาบัติก็ต้องเสื่อมไปด้วยแต่ตนเองก็ยังสามารถเข้าฌานทำสมาธิได้
ล่าสุดเมื่อทบทวนจนชัดเจนอีกครั้งจึงพบว่าตนเองได้กระทำผิดจริง เพราะครั้งหลังๆ เขาสารภาพว่ารู้ตัวตลอดการกระทำ และพลังจิตของตนที่เคยมีก็พลันหายไปหมดสิ้นไม่สามารถเข้าฌานสมาบัติได้เหมือนก่อน มีแต่ความตื่นกลัวอย่างแรงว่าตนเองคือคนธรรมดามิใช่พระอรหันต์ และการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก็เป็นเรื่องที่ตนเข้าใจผิดไปเองทั้งหมดตั้งแต่แรก ในเมื่อกระจ่างแล้วว่าตนมิได้เป็นพระอรหันต์และสิ่งที่ได้กระทำลงไปเป็นความผิดพลาดตนจึงเรียกประชุมสงฆ์และญาติโยมภายในวัดเพื่อประกาศทำการลาสิกขาต่อหน้าคณะสงฆ์และญาติโยมภายในวัดกลางดึกคืนนั้นเอง ซึ่งการตัดสินใจเรียกประชุมเพื่อลาสิกขาเป็นการตัดสินใจของพระเกษมเอง
ทั้งหมดนั้นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลังจากที่ผู้เขียนได้ดูคลิปย้อนหลังที่อดีตพระเกษมออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายรายการ มีหลายประเด็นที่ควรนำมาวิเคราะห์กันต่อว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากกรณีของพระเกษมที่เกิดขึ้นบ้าง
วิปฏิสารนี้ เมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้วไม่ต่างอะไรกับภาวะของคนตกอยู่ในนรกแม้จะยังมีลมหายใจ เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่ใช่สิ่งดีเลยเพราะมันบั่นทอนจิตใจของคน ๆ นั้นให้เศร้าหมอง จากที่เคยสดใสร่าเริงก็เปลี่ยนเป็นหม่นหมองซึมเศร้า ไม่มีชีวิตชีวาราวกับวิญญาณของเขาได้ตายจากไปแล้ว เหลือเพียงเศษซากของร่างกายที่เคลื่อนไหวได้
ความอับอายที่เกิดขึ้นในใจของคู่กรณีระหว่างเกษมกับต่อ ไม่แตกต่างจากความทุกข์ใจของเด็กวัยรุ่นวัยเรียนที่พบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับการเปิดเผยตนเองกับพ่อแม่ แม้ดูผิวเผินว่าไม่ค่อยจะเหมือนกันสักเท่าไหร่แต่ก็มีส่วนเหมือนกันในเรื่องของสภาพจิต เด็กต้องรู้สึกอับอายอย่างไรทั้งเกษมและต่อก็รู้สึกอับอายในลักษณะเดียวกัน ถึงแม้เด็กจะไม่ตัดสินใจบอกพ่อแม่แต่เด็กก็ต้องรู้สึกกังวลใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ดีว่าจะแก้ไขอย่างไรเพราะเป็นปัญหาที่ใหญ่นี่เรียกว่าเป็นวิปฏิสารก็ไม่ผิดเพราะเป็นความกังวลใจที่เผารน
บางท่านอาจจะบอกว่าไม่เหมือนกัน นี่เป็นผู้ใหญ่ทำผิดเขาไม่จำเป็นต้องอับอายอะไรแต่นั่นเป็นเด็ก แต่ความจริงก็คือไม่ว่าจะเป็นเด็กทำผิดหรือผู้ใหญ่ทำผิด ทุกคนก็มีความรู้สึกอับอายเท่าๆ กันเพราะทุกคนยังเป็นมนุษย์ แม้เราจะเห็นว่าเกษมมีอาการสงบนิ่ง แต่ก็จะสังเกตได้ถึงการจิบชาบ่อย ๆ (รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย)อันเป็นภาษากายแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้รู้สึกดีหรือรู้สึกปลอดภัยกับสถานการณ์ตรงนี้แต่เขาจำเป็นต้องเผชิญกับมันและผ่านมันไปให้ได้หรือเราจะสังเกตได้ถึงแววตาที่ซึมเศร้า แต่ด้วยความที่เกษมเป็นบุคคลที่ปฏิบัติธรรมมานานมีบุคลิกมั่นคง เกษมจึงมีเพียงบุคลิกของความสงบนิ่ง ไม่พูดจากโผงผางมึงมาพาโวยเหมือนก่อนนี้ที่มักจะเป็นพระที่ชอบพูดจาท้าตีท้าต่อย
“พื้นที่ปลอดภัย”หมายถึงพื้นที่หรือบรรยากาศที่เขา/เธอ ได้เปิดเผยเรื่องราวแล้วไม่ถูกซ้ำเติมให้แย่ลงไป ไม่ถูกรังเกียจ ไม่ถูกปฏิเสธ ลำพังความรู้สึกอับอายผิดบาปที่เกิดขึ้นภายในใจนั้นถือเป็นบทลงโทษที่สาหัสอยู่แล้วการถูกตัดสิน ถูกซ้ำเติม ถูกรังเกียจจากคนรอบข้างจึงเป็นยิ่งกว่าฝันร้ายที่เขาหรือเธอต้องเผชิญ
“พื้นที่ปลอดภัย” มีความสำคัญสำหรับทุก ๆ คนเพราะลำพังเขา/เธอผู้กระทำผิดพลาดต่างก็รู้สึกผิดในใจอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อพูดออกไปแล้วต้องถูกตีตรา ถูกตราหน้า ถูกรังเกียจ นั่นยิ่งเท่ากับเป็นความเจ็บปวดที่ถาโถมซ้ำเติมเข้ามา สำหรับบางคนถ้ารู้สึกผิดมาก ๆ ก็ไม่สามารถทนทานมีชีวิตอยู่ได้จนต้องกระทำการอัตวินิบาตกรรมตนเองซึ่งอันนี้ถือเป็นเรื่องเศร้ามาก ๆหากเกิดขึ้นกับใคร มันเป็นเรื่องเศร้าที่เรามักเห็นการฆ่าตัวตายเพราะไม่สามารถทนความผิดบาปได้ซึ่งมีให้เห็นบ่อย ๆ ในข่าวประจำวัน
เมื่อไรก็ตามที่ต้องมีการเปิดเผยความจริงที่อ่อนไหว เราทุกคนควรมีส่วนร่วมในการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ให้เกิดขึ้นด้วยการรับฟังอย่างไม่ตัดสิน รับฟังอย่างเข้าใจ รับฟังอย่างเมตตา พร้อมจะช่วยเหลือให้ผู้ที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์นั้นได้หลุดพ้นจากความทุกข์ใจ
ครั้งแรกที่ผู้เขียนทราบจากสื่อว่าพระเกษมพูดว่าตนเองเสพเมถุนแต่กระทำไปโดยไม่รู้ตัวก็รู้สึกค้านทันทีและสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะพระเกษมเป็นฝ่ายกระทำ หรือพระเกษมจะมีอะไรมาให้สังคมประหลาดใจอีก และการเอาเรื่องเสพเมถุนมาออกสื่อเป็นเรื่องที่ไม่ควรมาพูดล้อเล่นเพราะนั่นเท่ากับพระเกษมกำลังเอาสถานะตนเองมาเดิมพัน ต่อเมื่อพระเกษมได้ลาสิกขาในอีกไม่กี่วันต่อมาจึงได้รู้ว่าพระเกษมพูดจริง
คำถามก็คือเป็นไปได้หรือที่คนร่วมเพศกันแล้วจะไม่รู้ตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นฝ่ายกระทำ ทำให้ผู้เขียนนึกถึงข้อยกเว้นการปรับอาบัติของภิกษุในพระธรรมวินัยจึงกลับไปสืบค้นดู พบหลักฐานมาดังนี้ :
หนังสือ “วินัยมุข เล่ม 1” ในพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรสหน้า 30ได้กล่าวถึงการยกเว้นภิกษุผู้ถูกร่วมเพศแล้วไม่เป็นอาบัติคือ
- ภิกษุผู้ถูกลักหลับ ไม่รู้ตัว
- ภิกษุผู้ถูกข่มขืน ไม่ยินดี ไม่อาบัติ
และ ภิกษุอีก 4 ประเภทที่ไม่ต้องอาบัติ คือ
(1) ภิกษุผู้เป็นบ้าคลั่งจนถึงไม่มีสัมปชัญญะ
(2) ภิกษุผู้เพ้อถึงไม่รู้สึกตัว
(3) ภิกษุผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนากล้าถึงไม่มีสติ
(4) ภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น (ภิกษุรูปแรกที่ทำให้เกิดการบัญญัติสิกขาบทนั้นขึ้นมา)
ภิกษุ 4 ประเภทนี้ได้รับการยกเว้นทุกสิกขาบทว่าเป็นผู้ไม่ต้องอาบัติ
เมื่อวิเคราะห์จากคำสัมภาษณ์โดยละเอียดอย่างน้อย 5 คลิป ทั้งส่วนที่เกษมให้สัมภาษณ์และส่วนที่คู่กรณี (ต่อ) ออกมาให้สัมภาษณ์จึงวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับอดีตพระเกษมสามารถเป็นไปได้ ซึ่งอาจจะเป็นข้อใดข้อหนึ่งใน 3 ข้อแรก ของภิกษุผู้ไม่ต้องอาบัติ คือ
(1) ภิกษุผู้เป็นบ้าคลั่งจนถึงไม่มีสัมปชัญญะ
(2) ภิกษุผู้เพ้อถึงไม่รู้สึกตัว
(3) ภิกษุผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนากล้าถึงไม่มีสติ
ในเมื่อพระวินัยมีการพูดถึงข้อยกเว้นข้างต้นก็แสดงว่าในอดีตกาลเคยมีเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วจึงมีข้อยกเว้นหากไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วระบุไว้ก็คงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เมื่อวิเคราะห์จากฝ่ายที่ถูกร่วมเพศคือ นายต่อ ได้ให้การว่าในขณะเกิดเหตุ พระเกษมมีอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปไม่ใช่พระเกษมคนเดิม(รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย / เรื่องเล่าเช้านี้) จึงเป็นไปได้ที่พระเกษมไม่รู้ตัวจริง ๆ ซึ่งเกษมอาจจะมีอาการของโรคบางอย่าง หรือถูกวิญญาณของอมนุษย์เข้าสิงอย่างที่เขาให้สัมภาษณ์ในสื่อก็เป็นได้ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่เกษมเองก็ยังหาคำอธิบายไม่ได้
แต่ครั้งหลัง ๆ เกษมเปิดเผยว่าตนรู้ตัวตั้งแต่ต้น (คลิปแถลงการณ์จากวัดสามแยก) นั่นก็หมายความว่าครั้งแรกเกษมยังไม่ต้องอาบัติ แต่อาบัติเกิดขึ้นเมื่อเกษมรู้การกระทำนั้นมากขึ้นในครั้งหลัง ๆ เมื่อวิเคราะห์ว่าเขาผิดจึงตัดสินใจลาสิกขาด้วยตนเอง
เรื่องราวของอดีตพระเกษมที่เปิดเผยออกมาในครั้งนี้ น่าจะทำให้เราได้ตระหนักรู้มากขึ้นว่าเราไม่ควรด่วนเชื่อข่าวหรือด่วนสรุปอะไรเร็วเกินไป ข่าวที่ปรากฏในสื่อเราไม่ได้รู้ความจริงไปเสียทั้งหมด หากบุคคลที่ตกเป็นข่าววิเคราะห์เรื่องราวได้ไม่ชัดเจน มีคำพูดไม่ชัดเจน เมื่อมีคำพูดไม่ชัดเจน คนเขียนข่าวอาจตีความไปในอีกความหมายหนึ่งที่ผิดพลาดสุดท้ายเมื่อข่าวถึงผู้รับ ผู้รับอาจจะมีอคติอยู่แล้วเมื่อได้รับข่าวสารก็จะตีความไปในอีกความหมายหนึ่ง จึงเป็นไปได้ว่าข่าวจากต้นทางเป็นเรื่องหนึ่งแต่ปลายทางกลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราไม่ควรเชื่อข่าวไปเสียทั้งหมด เพราะข่าวที่เกิดขึ้นอาจมีความผิดพลาดบางอย่างในระหว่างการส่งมอบจนกว่าเราจะได้ยินจากปากของเจ้าของเรื่องเอง
ตกลงแล้วอะไรคือความเป็นเกย์ในการรับรู้ของสังคม ?
มุมมองของสังคมที่นิยามเกย์ว่าคือผู้ชายที่มีเซ็กซ์กับผู้ชายด้วยกันจะใช้กับเกษมและต่อได้หรือไม่ ?
นี่คงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คนเราชอบสรุปและตัดสินคนอื่นให้เป็นนู่น เป็นนี่ เป็นนั่น บางทีการเปิดโอกาสให้คน ๆ นั้นได้นิยามตนเองว่าเขา/เธอเป็นอะไรนั่นแหละเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุก ๆ คน
คุณผู้อ่านคิดเหมือนผู้เขียนไหม ?
……………………………………………………………………………………………………………
คลิปต่าง ๆ ที่อดีตพระเกษมให้สัมภาษณ์ออกสื่อ
คลิป 1 พระเกษมลาสึก(ความยาว 1.57 นาที) ลาสึกกับคณะสงฆ์และต่อหน้าญาติโยม เวลาตี 1 ของวันที่ 18 ม.ค.(เผยแพร่ 20 ม.ค.2558)
คลิป 2 แถลงการณ์จากวัดสามแยก(ความยาว 13 นาที) ครั้งแรกกระทำไปโดยไม่รู้ตัวจริง ๆ ครั้งหลัง ๆ ก็เริ่มรู้ตัวบ้าง จนกระทั่งรู้ตั้งแต่ต้น แต่เวลานั้นยังสามารถทำฌานสมาบัติได้จึงไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำผิดอะไร จนกระทั่งวันที่ 17 รู้สึกว่าฌานเสื่อม ไม่สามารถเข้าฌานสมาบัติได้อีก เมื่อนั้นจึงรู้ตัวแล้วว่าตนไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ตนเองเข้าใจผิดมาตลอด จึงลาสิกขา(เผยแพร่ 23ม.ค.2558)
คลิป 3ให้สัมภาษณ์รายการเด่นข่าวดึก (ความยาว 5.44 นาที) “กำลังเสพอยู่ยินดี ต้องอาบัติ แม้เมื่อไม่ยินดี ประกอบกับอุเบกขาก็ต้องอาบัติ เมื่ออ่านแล้วรู้สึกไม่สบายทุรนทุรายอย่างแรง จึงเรียกประชุมในศาลาในเวลา 6 ทุ่มกว่าเพื่อสึกในเวลาตี 1พร้อมขอขมาต่อพระอริยเจ้าทั้งหลาย และขอขมาลูกศิษย์ทุก ๆ คน”(เผยแพร่ 20 ม.ค. 2558)
คลิป 4ให้สัมภาษณ์วู้ดดี้เกิดมาคุย(ความยาว 27 นาที) ให้สัมภาษณ์ท่ามกลางลูกศิษย์และต่อหน้าลูกศิษย์ชื่อต่อ (เผยแพร่ 25 ม.ค. 2558)
คลิป 5 ต่อให้สัมภาษณ์เรื่องเล่าเช้านี้ (ความยาว 5.21 นาที) ต่อบอกว่าพระเกษมมีอาการเหมือนผีเข้าแล้วพยายามเสพเมถุนกับตนจนสำเร็จ (เผยแพร่ 20 ม.ค. 2558)