ปรากฏการณ์ “ท้องไม่พร้อมในวัยรุ่น” ในแง่หนึ่งถือเป็นการ “ละเมิดสิทธิเด็ก” เพราะเด็กควรได้รับสิทธิในการพัฒนา ซึ่งหมายถึง การเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาที่รอบด้านและถูกวิธีด้วย
ปัจจุบันสังคมไทยสอนเพศศึกษา ATM คือ ทำให้เด็กคิดว่า SEXคือสิ่งสกปรก คือการทำบาป คนเราต้องมี SEXเพื่อการสืบพันธุ์เท่านั้น เด็กเป็นผ้าขาวที่บริสุทธิ์จึงไม่ควรไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ SEXจะเป็นเรื่องปกติก็ต่อเมื่อแต่งงาน มีครอบครัวในรูปแบบเพศวิถีกระแสหลักเท่านั้น ต้องมีผัวเดียว เมียเดียว และรักกันอย่างโรแมนติก SEXจึงจะไม่ใช่เรื่องผิด
SEXจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับวัยรุ่น ห้ามพูด ห้ามถาม ห้ามสนใจ ทั้ง ๆ ที่มันฝืนธรรมชาติและฮอร์โมนเพศอย่างมาก เมื่อวัยรุ่นไม่รู้วิธีการและไม่รู้จะถามใคร เขาจะต้องไปลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง และเกิดความผิดพลาดขึ้นได้
หลังจากเด็กพลาดไปแล้ว ผู้ใหญ่มักจะไม่โทษตัวเอง มักจะโทษแต่ตัวเด็ก ว่าเด็กไม่ดี เป็นหญิงเลว ทั้งที่มันเป็นเพียงความสุขในชีวิตของเขาเท่านั้น จะมี SEXตอน 15 หรือ 30 ผลมันก็เหมือนกันถ้าเขาไม่ใช้ถุงยางอนามัย
ประเทศไทยสอนเพศศึกษาช้า เพราะมองว่ามันเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ยิ่งพูดยิ่งเป็นการสนับสนุนให้เด็กไปมีเพศสัมพันธ์กัน กว่าเด็กจะมีโอกาสได้รู้ข้อมูลที่ควรรู้บางคนก็ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองไปตั้งนานแล้ว หรือบางคนก็เพิ่งจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองรู้มาตลอดมันผิด
ข้อเสนอแนะคือ หากจะเปลี่ยนแปลง ก็ควรเริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคม หรือครอบครัวนั่นเอง
พ่อแม่หรือผู้ปกครอง นอกจากจะเป็นพระในบ้านแล้ว ยังต้องเป็นครูให้ลูกด้วย ซึ่งเพศศึกษาก็เป็นวิชาชีวิตที่ควรสอนเด็ก ผู้ปกครองต้องปรับทัศนคติกับตัวเองก่อนว่า เพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมชาติ มันเป็นเรื่องปกติของชีวิตและสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แม้กระทั่งลูกของเราเอง ผู้ปกครองจึงควรสอนวิธีการป้องกัน ทั้งเพศชายและเพศหญิง เด็กจะได้เข้าใจและบอกกับคู่นอนของตัวเองในอนาคตได้ เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่ป้องกัน ลูกเราก็ต้องป้องกันตัวเองจากเขาด้วย เพราะดูจากภายนอกไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครมีเชื้ออะไรในร่างกายบ้าง
ช่วงอายุที่เหมาะสมคือ ช่วงเริ่มเป็นวัยรุ่น 13 - 15 ปี เพราะช้ากว่านี้อาจจะไม่ทัน เด็กอาจจะลองผิดลองถูกไปเองแล้ว ซึ่งแบบนี้มีโอกาสเสี่ยงสูงมาก ทั้งโรคติดต่อและการตั้งครรภ์
ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องคร่ำเครียดกับการอธิบาย แต่ควรสร้างบรรยากาศที่ดีในการพูดคุย หรือคุยเรื่องทั่วไปในชีวิต แค่ให้ข้อมูลที่รอบด้านและไม่ขังเด็กไว้ในกรอบความคิดของตัวเอง เด็กก็จะเลือกได้เองว่าเขาควรทำอย่างไรกับร่างกายของตัวเอง
ขั้นตอนต่อมาคือ เปลี่ยนแปลงที่สถานศึกษา ครูสอนเพศศึกษาควรเป็นคนที่มีความรู้เรื่องเพศศึกษาจริง ๆ สามารถตอบทุกข้อสงสัยของเด็ก และไม่กระดากอายที่จะสอนเรื่องนี้ เพราะถ้าครูอาย เด็กก็อายไปด้วย การแลกเปลี่ยนพูดคุยก็จะไม่เกิดขึ้น
บางโรงเรียนเอาครูที่ไม่มีความรู้มาสอนเพศศึกษา และโยนให้เป็นความรับผิดชอบของสถาบันครอบครัว ซึ่งจริง ๆ แล้วควรร่วมด้วยช่วยกันมากกว่า เด็กจะได้ตระหนักว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรู้จริง ๆ
จากประสบการณ์ของฉัน โรงเรียนแทบไม่ได้สอนเพศศึกษาจริง ๆ เลยครูเอาแต่พูดอ้อม ๆ ว่าคนเราท้องได้อย่างไร ถ้ารู้แล้วว่าท้องแล้วมันลำบากก็อย่าท้องนะ แต่เขาไม่เคยสอนว่าทำอย่างไรฉันจึงจะไม่ท้อง ต้องกินยาคุมอย่างไร ถุงยางอนามัยซื้อได้ที่ไหน หรือถ้าเกิดความผิดปกติกับร่างกาย ฉันควรทำอย่างไร
วิธีการสอนเด็กแบบเดิม ๆ มันไม่ได้ผลมาตั้งนานแล้ว คงไม่มีเด็กคนไหนอยากให้ผู้ใหญ่ออกคำสั่งโดยไม่ให้เหตุผล ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดจึงเป็นการให้ข้อมูลกับเด็กอย่างรอบด้านที่สุด ให้เขาได้ตัดสินใจเลือกใช้ชีวิตด้วยตัวเอง