ตัวละครใน Last Friends น้องคนที่เป็นทอมบอยหน้าใส (จนฉันเคลิ้มว่าฉันก็ชอบผู้หญิงได้เหมือนกันแฮะ) เข้าไปอยู่ในวงการรถแข่งอันแน่นอนว่าต้องเต็มไปด้วยผู้ชายแมนโคตรจะแมน และไม่ว่าเธอจะพยายามพิสูจน์ฝีมือ จิตใจอันกล้าแกร่ง ความอดทน ให้เป็นที่ประจักษ์แค่ไหน ใครๆ ก็ยังอยากเห็นเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ดี รวมทั้งครูฝึกที่เธอเองก็เคารพนับถือ
เหตุเกิดเมื่อครูและลูกศิษย์ไปดื่มฉลองชัยชนะ และครูได้ลวนลามเธอ ถ้าเป็นนางเอกไทยอาจจะต่อย (แบบทัดดาว บุษยา ต้นตำรับ "เจ้าฮะ") หรือไม่ก็ร้องให้ขี้มูกโป่ง แต่การรับมือกับการถูกลวนลามทางเพศในละครเรื่องนี้กลับเป็นการตั้งสติ เจรจา ไม่ใช่ครั้งเดียวแต่ครั้งแล้วครั้งเล่า
หญิงสาวคนนั้นไม่ได้โวยวาย เลิกแข่งรถ เปลี่ยนสนาม เปลี่ยนครู แต่ทีละเล็กทีละน้อย เธอพยายามที่จะปกป้องไม่เปิดโอกาสให้ตนเองถูกลวนลาม
ขณะเดียวกันได้พยายามยืนหยัดสร้างสิ่งที่เรียกว่า การเคารพกันและกันในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันโดยไม่เกี่ยวว่าคุณเป็นคนเพศอะไรขึ้นมาให้ได้
ครูฝึกหยุดลวนลามเธอไม่ใช่เพราะว่าเขาเลิกหื่นหรือหมดปรารถนา หรือกลัวจนมูลนิธิปวีณาประจานหรือกลัวว่าจะโดนชก แต่เขาหยุดเพราะเขาตระหนักในศักดิ์ศรีของเธอในฐานะที่เป็นนักแข่งรถมืออาชีพคนหนึ่ง ไม่ใช่เพราะเธอเป็นหญิง ชาย หรือเกย์ เขาหยุดเพราะเขาตระหนักในความเป็นมนุษย์ของเธอที่ไม่ต่างจากเขา และฉันคิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาการละเมิดทางเพศ
และไม่อยากเชื่อว่าประเด็นแบบนี้จะถูกทำออกมาได้ดีและลึกซึ้งมากในละครตลาดๆ ดูสนุกๆ แถมยังเรียกน้ำตาได้ท่วมจอ (อันนี้สื่อสารไปยังคนทำละครไทยว่าละครเน่าๆ ก็ทำให้มีสาระได้ ถ้ามีกึ๋นพอ อย่ามาอ้างว่าทำละครดีๆ ไม่ตบกัน ไม่โชว์นม แล้วจะไม่มีคนดู)
เรื่องนี้ทำให้ฉันนึกถึงคลิปที่ว่ากันว่า "ฉาว" ของนักการเมืองผู้หญิงหลายคนที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อทำลายอนาคตทางการเมืองของพวกเธอ มีทั้งนักการเมืองใต้หวัน นักการเมืองมาเลเซีย บางทีเป็นแค่คลิปอาบน้ำ และฉันคิดว่านี่คือการ harass ทางการเมืองโดยใช้เรื่องเพศมาเป็นเครื่องมือ
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด เพราะไม่มีเรื่องไหนจะสามารถดิสเครดิตคนได้มากไปกว่าเรื่องเพศที่ไม่ถูกรีตถูกรอย การโค่นล้มผู้มีอำนาจนั้นอาจทำด้วยการรัฐประหารก็อย่างหนึ่ง แต่การปล่อยข่าว คาวๆ ฉาวๆ เรื่องเพศก็เป็นอาวุธสำคัญที่จะทำให้อำนาจนั้นอ่อนแรงลงได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ
ก่อนการปฏิวัติ 2475 สิ่งที่นักหนังสือพิมพ์ไทยโจมตีความฟอนเฟะของระบอบศักดินาได้อย่างต่อเนื่องและมีอิทธิพลจูงใจคนได้มาก็ว่าด้วยขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง แถมยังไม่ทำการทำงาน ทำแต่สิ่งที่เรียกว่า ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา
การมีหลายลูกหลายเมียของขุนนางไทยก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่นักเสรีนิยมตอนนั้นประณามและเหล่านี้ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยเกื้อให้การปฏิวัติ 2475 ประสบความสำเร็จ เพราะประชาชนก็เอือมกับระบอบที่เอาแต่สีซอ
แต่ถึงเราจะเลิกระบอบค่ำเช้าเฝ้าสีซอในทางกฏหมาย แต่ไม่ได้แปลว่า "ขุนนาง" ไทยหรือผู้ชายไทยหันมามีเมียคนเดียวตามกฏหมายสมัยใหม่ของบ้านเมือง แต่ที่เปลี่ยนไปคือหันไปมีอย่างหลบซ่อน บิดบังเสีย แล้วใช้ความพยายามอีกนิดในการสร้างภาพพจน์ครอบครัวอบอุ่น หรรษาให้ประชาชีเห็น
ประเด็นมันอยู่ที่ว่าคุณจะไปทำลามกจกเปรตที่ไหนกับใครก็ได้ แต่บทบาทที่ต้องแสดงให้สาธารณะประจักษ์ให้จงได้คือภาพของแฟมิลิแมน กับครอบครัวเปี่ยมสุข
เรื่องนี้ ทักษิณก็ออกจะเก่ง เรามักจะเห็นภาพครอบครัวชินวัตรหรรษาช้อปปิ้ง กินข้าว อยู่บ่อยๆ หรือเร็วๆ นี่มีข่าวว่า อภิสิทธิ์ยินดีจะเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ผู้ชายรักเดียวใจเดียวมีเมียคนเดียว
แต่อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า วัฒนธรรมสำส่อนหลายเมียของผู้ชายไทยนั้นไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย นักการเมือง นายพลทหารฯ จะมีเมียกี่คน ไม่มีใครติดใจสงสัยจะตั้งคำถามเรื่อง "ศีลธรรม" แถมยังยกย่องให้เป็นเอกบุรุษ บริหารการบ้านก็เรียบร้อย แบบนี้มาบริหารการเมืองก็คงจะราบรื่น กลายเป็นเรื่องเสริมสร้างบารมี ตีปี๊บดังน่าชื่นชม
สิ่งที่ฉันกำลังจะพูดคือ เมื่อสังคมเรียกร้องมาตรฐานเรื่องเพศต่อผู้หญิงและผู้ชายไม่เท่ากัน เมื่อก้าวเข้าสู่การเป็นนักการเมือง นักการเมืองผู้หญิงจึงเปราะบางต่อการถูกใช้ประเด็นเรื่องเพศมาบั่นทอนความน่าเชื่อถือของพวกเธอ นักการเมืองหญิงไทยโดนทั้งข่าวลือเรื่องเป็นเมียน้อยหัวหน้าพรรค บางคนว่าท้องกับหัวหน้าพรรค
ร้ายแรงที่สุดมีแม้กระทั่งการปล่อย "คลิป" ส่วนตัวออกมาเผยแพร่อย่างจงใจที่จะทำลายชื่อเสียง (นักการเมืองหญิงของหลายๆ ประเทศต่างก็เจอเรื่องแบบนี้ไปทั่วถ้วน)
สำหรับฉันผู้หญิงทุกคนไม่ใช่เฉพาะแต่นักการเมือง-ดาราภาพยนตร์ คนมีชื่อเสียงในแขนงต่างๆก็โดนกันอยู่เนืองๆ-ที่ถูกกระทำแบบนี้ควรจะต้องออกมาต่อสู้ให้สง่างาม เรื่องผิดถูกทางกฏหมาย และศีลธรรมทางเพศนั้นต้องถกเถียงกันยาว แต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกับสังคมคือ การที่ใครสักคนมีเซ็กซ์กับใครสักคนด้วยความยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย ยิ่งการถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่นก็นั้นเป็นเครื่องบันเทิงส่วนตัว ไม่ผิดกฏหมายข้อไหนทั้งสิ้น (อย่าบอกนะว่าคุณเองไม่เคยทำ หรืออยากทำกับเขาสักครั้ง อิอิ)
และถึงที่สุดหากภาพจะเล็ดรอดอออกก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย-มันก็แค่ 1 ในหลายๆ แอ็กชั่นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เฉกเดียวกับการรับประทานอาหาร การแรงฟัน แคะขี้หู ฯลฯ
การต่อสู้เรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ หรือการใช้เรื่องทางเพศมาเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายชื่อเสียงของผู้หญิง ไม่อาจทำได้ด้วยการร้องแรกแหกกระเชอ ร้องห่มร้องให้ ขอความเห็นใจว่าหนูผิดไปแล้ว หรือหนูโดนแกล้งจากคนใจร้าย แต่จะต้องได้มาด้วยการออกมายืนยันการกระทำของตนอย่างองอาจ และพร้อมจะตั้งคำถามกลับไปว่า
so what?
นี่ไม่ใช่อาชญากรรม และต้องเข้าใจว่าด้วยว่า ฝ่ายที่นำข้อมูลนั้นมานำเสนอต่อสาธารณะก็มีสิทธินำเสนอ และสังคมก็ย่อมใช้วุฒิภาวะของตนตัดสินว่า การกระทำนั้นชอบธรรมหรือไม่
แต่ถ้าผู้หญิงยังก้มหน้าร้องไห้ และดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบของศีลธรรมทางเพศหน้าไหว้หลังหลอก "ทำได้แต่ห้ามพูด" ผู้หญิงก็ย่อมตกอยู่ในสภาพน้ำท่วมปาก อย่างมากก็แค่หลีกลี้หนีหน้าประชาชนไปจนกว่าคนจะลืม และหมดโอกาสที่จะได้ผุดได้เกิดอีกรอบ
พูดให้ถึงที่สุดถ้าผู้หญิงทุกคนยังไม่สามารถเดินออกมานอกกรอบของระบบผัวเดียวเมียเดียว, ความสัมพันธ์ที่จำกัดวงไว้เฉพาะหญิงและชาย, ยังเชื่อว่าการล่วงละเมิดทางเพศแก้ได้ด้วยการออกบทลงโทษให้หนัก, ยังนิยามบทบาทของตนเองไว้กับความเป็นลูกสาว เป็นเมีย เป็นแม่
จนลืมไปว่าตัวเองก็เป็น คน คนหนึ่ง และเป็น คนได้อยู่อย่างนั้นโดยไม่ต้องพยายามเลื่อนฐานะไปเป็นเมีย หรือ เป็นแม่ของใครเสียก่อน ในทางกลับกันความเป็นคนของผุ้หญิงก็ไม่ได้ลดลงเพียงเพราะเป็นลูกสาวที่แย่ เป็นเมียที่ร่าน หรือเป็นแม่ที่เลว
เมื่อนั้นผู้หญิงถึงจะมีอำนาจต่อรองและยืดอกอธิบายเรื่องราวของตนเองให้สังคมฟังได้
เมื่อเราเริ่มต้นอธิบายได้ เราน่าจะได้เริ่มต้นสร้างความเคารพแก่ตัวเองและสามารถโน้มนำให้สังคมเริ่มเคารพในตัวของเราได้บ้าง
|