
แกนนำเยาวชนจาก ๗ โรงเรียนในกรุงเทพฯ เข้าค่ายฝึกเป็นผู้ให้คำปรึกษาเรื่องเพศให้เพื่อน โดยคาดหวังว่าจะนำความรู้ที่ได้รับกลับไปดำเนินกิจกรรมต่อ
องค์การแพธ ร่วมกับโรงเรียนในกรุงเทพฯ นำร่องโครงการ School Healthอบรม "ค่ายพัฒนาแกนนำเยาวชน : สุขภาวะทางเพศวัยรุ่น " เมื่อวันที่ ๒๘-๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ วีเทรน อินเตอร์เนชั่นแนลเฮ้าส์ (บ้านพักฉุกเฉิน) ย่านทุ่งสีกัน กรุงเทพฯ เป็นโรงเรียนมัธยมสังกัดกรุงเทพมหานคร ๓ แห่ง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ๓ แห่ง และสังกัดสำนักบริหารคณะกรรมการส่งเสริมสถานศึกษาเอกชน ๑ แห่ง มีเยาวชนเข้าร่วม ๔๒ คน ครูและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ๒๓ คน
เด็กมัธยมต้นและปลายส่วนใหญ่มาจากชมรมเพศศึกษา หรือเป็นแกนนำในโรงเรียน ๗ แห่ง ได้แก่ โรงเรียนสตรีวิทยา ๒ โรงเรียนสตรีวัดอัปสรสวรรค์ โรงเรียนมัธยมนาคนาวาอุปถัมภ์ โรงเรียนมัธยมบ้านบางกะปิ โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ โรงเรียนเสสะเวชวิทยา และโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร มาทำกิจกรรมพร้อมกับครูในค่ายฯ ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งของแนวคิด School Healthที่สร้างวัยรุ่นให้เป็นแกนนำช่วยเพื่อนและครู เพื่อส่งต่อเด็กมีปัญหาเรื่องเพศสู่ระบบสุขภาพ ซึ่งองค์การแพธ ได้ริเริ่มและนำร่องดำเนินการไปแล้วใน ๓ จังหวัดคือ ชัยภูมิ เพชรบุรี และกรุงเทพฯ
ตลอดการอบรม เยาวชนได้ทบทวนเป้าหมายชีวิต วิเคราะห์ตัวเองและเพื่อน ฝึกสังเกต ฝึกทักษะการเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดีให้กับเพื่อน ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่กลมกลืนไปกับกิจกรรมสนุกๆ อาทิ ให้จินตนาการถึงตัวเองใน ๕ ปีข้างหน้าด้วยเส้นสีบนกระดาษ หลับตาสำรวจ “ใจ” ที่มีต่อเหตุการณ์ “ชอบ-ไม่ชอบ” บอกความรู้สึกท่าทางที่แสดงออกต่อสิ่งนั้นแล้วเขียนลงบนกระดาษ “การไม่คิดแทน” จากกิจกรรมป้อนอาหารเพื่อนโดยไม่สื่อสารกัน หรือกิจกรรม “เลือกข้าง” ที่ทำให้เข้าใจและยอมรับความแตกต่างทางความคิด ค่านิยม ความเชื่อ โดยเด็กๆ ต้องเลือกยืนในกลุ่ม “เห็นด้วย” หรือ “ไม่เห็นด้วย” เมื่อได้อ่านข้อความ เช่น “หากได้รับคลิปโป๊หรือตบตีของคนรู้จัก ฉันจะส่งต่อ” “ถ้ารู้ว่าแฟนที่คบกันอยู่ไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น ฉันจะเลิกทันที” เป็นต้น
ช่วงแนะนำแหล่งบริการสุขภาพที่เป็นมิตรได้เชิญเจ้าหน้าที่คลินิกวัยรุ่นจากโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลรามาธิบดี มาพูดคุยตอบข้อซักถาม ซึ่งคุณครูและเด็กชอบกันมากเพราะเจ้าหน้าที่เป็นกันเอง ครูสะท้อนว่ากิจกรรมนี้มีประโยชน์ เพราะช่วยเพิ่มช่องทางให้เด็กรู้จักแหล่งบริการ และข้อมูลบางอย่างครูก็ไม่เคยทราบ เช่น คลินิกวัยรุ่นเปิดทำการ ๑ วันต่อสัปดาห์เฉพาะวันที่กำหนด (ในเวลาราชการ) บริการให้คำปรึกษาในเรื่องใกล้ตัว เช่น เป็นสิว เครียดจากการสอบ การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ไปจนถึงตรวจการตั้งครรภ์ ด้วยค่าบริการครั้งละ ๕๐ บาทในการตรวจทุกรายการ กิจกรรมนี้ยังช่วยให้เด็กมองภาพสถานพยาบาลต่างไปจากเดิมโดยดูเป็นมิตรมากขึ้น นำไปสู่การเข้าถึงที่ง่ายขึ้นด้วย
ในวันสุดท้าย เด็กๆ ได้นำเสนอกิจกรรมที่จะกลับไปทำต่อในโรงเรียน เช่น สร้างเฟซบุ๊กให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา นำเสนอความรู้ด้านเพศศึกษาผ่านเสียงตามสายหรือหนังสือพิมพ์โรงเรียน วางแผนตั้งชมรมเพศศึกษา (ในโรงเรียนที่ไม่เคยมีชมรมนี้มาก่อน) การแสดงละครรณรงค์ด้านเพศศึกษาในช่วงพักกลางวัน ฯลฯ โดยครูบางคนตั้งข้อสังเกตว่า มีปัจจัยหลายอย่างที่จะนำเด็กไปถึงเป้าหมาย เช่น แรงผลักดันของครูที่เข้าร่วม ความชัดเจนของโครงการและการติดตามที่ต่อเนื่อง ความพร้อมในการสนับสนุนของโรงเรียน รวมถึงการคัดเลือกเด็กที่มีจิตอาสา เพื่อกลับไปทำงานต่อในโรงเรียนได้อย่างเต็มที่ ยังไม่รวมถึงปัจจัยแวดล้อมในโรงเรียนที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ที่ต้องคำนึงถึงด้วย อย่างไรก็ดี ขณะนี้มีเด็กที่กลับจากค่ายร่วมกันสร้างกลุ่มเฟซบุ๊กไว้ตอบคำถามเรื่องเพศให้กับเพื่อนในโรงเรียนแล้ว ๑ แห่ง คือ www.facebook.com/HelpClub.BKKโดยมีเครือข่ายเพื่อนต่างโรงเรียนช่วยกันแนะนำกลุ่มดังกล่าวนี้ด้วย นับเป็นสัญญาณที่ดีในการแตกยอดแนวร่วมรุ่นเยาว์เพื่อสานต่อโครงการต่อไป
แนวคิดโครงการ School Healthมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพนักเรียนในโรงเรียนให้ครอบคลุมถึงการดูแลสุขภาวะทางเพศของวัยรุ่น โดยสร้างแกนนำเยาวชนที่มีทักษะในการให้คำปรึกษาเรื่องเพศ ครู และเครือข่ายบริการสุขภาพใกล้โรงเรียนคอยเป็นแหล่งให้คำปรึกษา ดูแล รักษา และส่งต่อสู่แหล่งบริการด้านสุขภาพ รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดกลุ่มเครือข่ายเผยแพร่ความรู้สู่ชุมชน หัวใจสำคัญคือ พัฒนาครูในโรงเรียน ให้เป็นจุดเชื่อมต่อที่จะช่วยบูรณาการการเรียนรู้เพศวิถีศึกษาให้สมบูรณ์ทั้งการป้องกัน และรักษาเยียวยา นำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต |
|