เรื่องเมียๆ โดย: นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว [28 กรกฎาคม 2553]

265

เมื่อกลางปีก่อน ในวันอันเศร้าโศกทุกข์ระทมวันหนึ่ง ดิฉันเดินมึนตื้ออยู่ริมกำแพงวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ พยายามหักห้ามความหมองหม่นและนึกถึงภารกิจสำคัญที่ต้องหาตะกรุดพิสมรให้คุณลุงที่รักชาวเมืองสงขลา วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ตลาดนัดตลาดพระกำลังคึกคัก ตั้งแผงติดๆ กัน ผู้คนเดินเลือกหาดูข้าวของแน่นฟุตบาท แต่ละแผงมีคนมุงอยู่แน่นตรึม ล้วนเป็นหนุ่มใหญ่ชายแก่ชาวบ้านหน้าตาเหมือนๆ กับทุกคุณลุงที่ดิฉันเคยไปสัมภาษณ์ขอความรู้มาตลอดหลายๆ ปี เสียงยวดยาน เสียงเจรจาต่อของ และเสียงตะเบ็งเชิญชวนให้เข้าไปชมน้ำมันจิ้งเหลน สร้อยประคำไม้จันทน์ คดไม้สัก น้ำมันพราย เหล็กไหล รักยม รากไม้สมุนไพรหน้าตาพิลึก ฯลฯ ดังจอแจหนวกหูอยู่รอบตัว ดิฉันเบียดเข้าไปดูทีละแผง เพียงสองสามแผงก็ได้เรื่อง คุณลุงเจ้าของแผงพระเครื่องแห่งหนึ่งยื่นปลัดขิกไม้อันเบ้อเริ่มปลุกเสกโดยหลวงพ่ออะไรสักรูปหนึ่ง….ทิ่มพรวดเข้ามากลางฝูงคนที่สุมหัวมุงอยู่ เล่นเอาดิฉันผงะหน้าเกือบหงาย ขณะที่ลุงตะเบ็งเสียงระดับแปดหลอดแจกแจงสรรพคุณปลัดขิกมหัศจรรย์นั้นว่า—ของผมไม่มีใครสู้ บูชาถูกวิธีแล้วจะตีฟันไม่เข้า กันไฟไหม้ ศาสตรามีดดาบ กระสุนปืนทุกชนิด เอ็ม 16 ถล่มยังไม่เป็นอะไร  รับรองป้องกันอาวุธได้ทุกอย่าง …” คุณลุงแกว่งปลัดขิกอันเท่าสากกะเบือไปมาด้วยท่าทีภาคภูมิใจ ก่อนจะปล่อยหมัดเด็ดเอาตรงประโยคสุดท้าย  ”แต่กันเมียตบไม่ได้”

          ดิฉันมือตีนอ่อน…หัวเราะเหมือนอีบ้าเสียแทบร่วงลงไปกองกับพื้น ไอ้ที่ทุกข์ระทมจนมึนตื้อมาตลอดเช้าหายสนิทเป็นปิดสวิทช์  สมองโล่ง…เพราะความรู้ใหม่ในวินาทีนั้น สำหรับชายไทยครบเครื่องด้วยวัตถุอาถรรพ์ป้องกันอาวุธทุกประเภท ไอ้สิ่งชวนหวาดสะพรึงที่สุด กลับเป็นเพียงแค่…ฝ่ามือเมีย

          เพิ่งรู้นี่แหละว่าเมียนั้นร้ายกว่าเอ็ม 16 ขนาดปลัดขิกที่ว่า “ขลัง” หนักหนายังทานแรงตบของเมียไม่ไหว

          ดูท่า “เมีย” จะเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่าศาสตราวุธทุกชนิด เสียล่ะกระมัง!

          ตลอดหลายๆ ปีมานี้ ทุกครั้งที่ดิฉันเดินทางไปทำสารคดีในพื้นที่ต่างๆ เรื่องหนึ่งที่ดิฉันมักไถ่ถามหาข้อมูลอยู่เสมอก็คือ การพบปะ สร้างสัมพันธ์ เลือกคู่ อยู่กินแต่งงาน ของหญิงชายไทยรุ่นปู่ย่า ว่าเขาเคยมีวิถีมีชีวิตดำรงอยู่กันมาแบบไหน

          ความสนใจนี้มีที่มาตั้งแต่ดิฉันอายุใกล้จะยี่สิบ เพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ปีสองปี และพาเพื่อนรักกลุ่มหนึ่งไปเที่ยวบ้านเพชรบุรี เราไปยืนดูศาลาการเปรียญที่วัดใหญ่สุวรรณาราม ดูประตูพม่าฟัน ดูกรอบหน้าต่างที่เหมือนกับหน้าต่างบ้านทรงไทย คือมีส่วนประกอบตรงตีนหน้าต่างที่เรียกว่า “หย่อง” เป็นไม้แกะสลักลายกนกลายพรรณพฤกษาเจาะฉลุเป็นช่องโปร่งงดงาม แต่ชวนให้ฉงนถึงประโยชน์ใช้สอยอย่างยิ่ง จนดิฉันหันไปถามหลวงปู่เจ้าอาวาสที่แก่มากๆ ท่านมายืนคุยให้เราฟังและฟังพวกเราคุยเสียงเจี๊ยวจ๊าวด้วยดวงตายิ้มๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาเอ็นดู

          “หลวงปู่ขา คนเมื่อก่อนเขาเจาะหย่องไว้ทำไมคะ”

หลวงปู่หัวเราะหึๆ มองหน้าพวกเราที่จ้องตาเป๋งอยู่ทีละคน ท่านยิ้มเห็นฟันหลอและตอบคำถามด้วยน้ำเสียงโอบเอื้อ…ทั้งในฐานะพระและในฐานะผู้เฒ่าที่เห็นโลกมานาน

          “เขาเจาะเอาไว้ให้ลูกสาวแอบดูผู้ชาย!”

เพื่อนรักคนหนึ่งร้อง “ว้าว” ออกมาดังลั่น พวกเราซึ่งเป็นสาวน้อยในวันนั้น หัวเราะเสียตัวสั่นตัวงอ…ชนิดแทบลงไปดิ้นกับพื้น ใครจะไปเชื่อ พระชราจะตอบอะไรที่ชัดแจ้ง ตรงเผง ไม่มีอ้อมค้อม เต็มไปด้วยความเข้าใจเห็นอกเห็นใจสาวๆ รุ่นคุณย่า ได้ถึงขนาดนี้

ก็ถ้าไม่มี “หย่อง” จะให้สาวๆ ไปเที่ยวชะม้ายตามองไอ้หนุ่มที่ผลัดกันมายืนชะเง้อมองหลังคาบ้านอยู่ที่ตรงไหน ขืนเปิดหน้าต่างอ้าซ่ายื่นหน้าออกไป เสียฟอร์มกันหมดพอดี!

นั่นเป็นแค่ขั้นต้นๆของความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว แต่ชวนให้พิจารณาอย่างยิ่งว่าเรือนไทยสมัยก่อนมีการจัดพื้นที่ออกแบบสถาปัตยกรรมได้เอื้อเฟื้อต่อวิถีชีวิตของคนทุกรุ่น เด็กๆ มีนอกชานไว้หนุนตักแม่ หนุนตักย่า นอนฟังนิทานแข่งกันนับดาวในยามค่ำคืน สาวๆ มีหย่องไว้แอบดูผู้ชาย ปู่ย่าแก่จนลุกนั่งเดินเหินเข้าห้องน้ำไม่ใคร่ไหว สามารถนั่งนอนไถลกลิ้งตัวปลดปมโสร่ง ชายผ้าโจงกระเบนฉี่อึลอดร่องกระดานลงใต้ถุน ยิ่งเป็นกระดานรุ่นเก่าที่แผ่นหนาหนักวางพาดตงเอาไว้ไม่ตอกตะปูยิ่งสบาย เอาตีนถีบกะดานให้ถ่างเป็นร่องกว้าง ปลดทุกข์พึ่งตัวเองได้ในวัยชรา ไม่ลำบากลูกหลานจนเกินไป ทำความสะอาดก็ง่าย ราดน้ำขัดถูกวาดลงใต้ถุนเรือนไปได้หมด

ต่างจากบ้านช่องสมัยนี้ ที่ข้อจำกัดของพื้นที่และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้บ้านเรือนส่วนใหญ่ได้ “มองข้าม” และตัดทอน “เงื่อนไข” ต่างๆ อันโอบเอื้อผู้คนแต่ละรุ่นออกไปมากต่อมาก เหลือเพียงหน้าที่หลักคือคลังเก็บ “ขยะ” ไว้เป็นของสะสมทางรสนิยม ให้คนใช้อยู่ หรือให้พ่อแม่วัยชรามานั่งเป็นคนเลี้ยงหลานเฝ้าบ้าน

เพียงร่วมร้อยปีคุณลักษณะของ “เรือน” ยังเปลี่ยนไปไกล แล้วความเข้าใจกับสภาพเป็นไปของสัมพันธภาพระหว่างหญิงชายรุ่นเก่าจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน

ดิฉันก็เป็นเช่นเดียวกับหนุ่มสาวร่วมสมัยในยุคนี้ แม้อายุจะเลยวัยสาวน้อยไปร่วมยี่สิบปี แต่ก็เติบโตขึ้นมาพร้อมกับรูปถ่ายงานแต่งงานของพ่อแม่ ได้เห็นพิธีแต่งงานของเพื่อนพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ได้ดูละครทีวีได้อ่านนิยายพาฝันรุ่นดอกไม้สดที่มีพิธีแต่งงานหรูหราของพระเอกนางเอก ได้อ่านกระทั่ง “ประเพณีแต่งงาน” ของเสฐียรโกเศศ หรือไกลกว่านั้นก็คือพิธีการยกเรือนแต่งงานเต็มรูปแบบของพลายแก้วกับนางพิม ในวรรณคดีขุนช้างขุนแผน ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับหนุ่มสาวรุ่นคุณย่ามักออกมาในทำนอง…เจอกันที่วัด ดูตัว รักกันบ้างถูกจับคลุมถุงชนบ้าง ทาบทาม สู่ขอ หมั้นหมาย เป็นลำดับไปถึงการจัดพิธีแต่งงาน

เล่นเอาเชื่อแสนเชื่ออยู่หลายสิบปีว่าคนไทยสมัยก่อน โดยวิถีวัฒนธรรมอันถูกต้องดีงามตามศีลธรรมแบบไทยๆ แล้ว เขาต้อง “แต่งงาน” กันเป็นปกติจึงจะสามารถ มีเมีย มีผัว มีลูก ตั้งครอบครัวอย่างถูกทำนองคลองธรรมได้

จนลืมไปสนิทว่าก่อนพลายแก้วจะยกขันหมากไปขอนางพิม เณรแก้วก็ได้แหกผ้าเหลืองไป “ส่งตัว” กับนางเอกของเรื่องเสียระเบิดเถิดเทิงถึงไหนๆ แล้วยังมุดเข้าห้องนางสายทอง นางแก้วกิริยา ได้นางบัวคลี่ นางลาวทอง สารพัดนางจนอ่านแล้วเวียนศีรษะ จัดลำดับเมียๆ ไม่ถูก ว่าใครควรเป็นหลวงหรือเป็นน้อย ส่วนวรรณคดีเรื่องอื่นๆ ซึ่งอยู่ในระดับวรรณกรรม “หลวง” จากฝ่ายราชสำนักหรือเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ บทละครไทย นั่นยิ่งตัวดีเพราะเต็มไปด้วย “เทพอุ้มสม” พาพระอนิรุทธ์ พระสมุทโฆษ บรรดาหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์องค์ต่างๆ เหาะข้ามจารีตประเพณีและพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำวัง ไปส่งถึงเตียงถึงห้อง ดำเนินบทอัศจรรย์ท่ามกลางสายฝนเสกเด็กเข้าท้องจนนางเอกพุงป่องมานักต่อนัก

         ทั้งที่หลักฐานในวรรณคดี มีการระบุจารีตสองแบบไว้เด่นชัด คือทั้งแต่งและลุยกันเอง แต่เรามักลืม มักเชื่อ มักโรมานซ์กับวิมานนี้สีชมพูของพิธีแต่งงาน จนเข้าใจว่าคือความจริงอันถูกศีลธรรมความจริงเดียวในสังคมไทย

         แต่เมื่อได้สืบถามชาวบ้าน โดยเฉพาะกับชาวบ้านในเขตภาคกลาง เริ่มแรกก็นายหนังตะลุงชื่อดังเมืองเพชร ผู้ซึ่งบัดนี้อายุสัก 55 ปีเห็นจะได้ รู้จักกันมายาวนานจนนับถือเป็นพี่…พี่ชายผู้มีเมียรอบเอว แต่มีทีละคน ดิฉันจำจำนวนไม่ได้แล้วว่า 7 หรือ 10  มันเยอะจนฟังแล้วสับสนไปหมดในพงศาวดารเมียๆ ของพี่  แต่ที่มหัศจรรย์นักก็คือเรื่องที่พี่เขาบอกว่าตั้งแต่เป็นหนุ่มมา ก่อนได้เมียคนสุดท้อง เมียทั้งหมดล้วน “พา” กันมาทั้งสิ้น

         “พา…ยังไง พามาทำอะไรคะ”

         ในวัยยี่สิบต้นๆ ดิฉันถามด้วยความงงสุดขีด และเป็นคำถามที่เซ่อจนพี่เขาหัวเราะหึๆ เอียงคอมองหน้าดิฉันอย่างเหลือเชื่อ

         “บ๊ะ ก็พามาทำเมียซี่วะ จะให้เอามาทำอะไรล่ะ ถามพิกล”

         ดิฉันฟังแล้วอายม้วน จริงของพี่เขา กูหนอกูช่างถามออกมาได้เหมือนคนไร้สติ แต่สิ่งที่พี่เขาอธิบายความต่อ มันยิ่งพลิกโลกพลิกความเข้าใจ พลิกการเรียนรู้ผ่านตำรับตำรา นิยายพาฝัน ละครน้ำเน่า หรือกระทั่งจารีตของ “ประเพณีแต่งงาน” ทุกเรื่องราวของความสัมพันธ์หญิงชายไทยที่เคยรู้เคยเข้าใจไปเสียสิ้น

         “คนเพชรบุรี ราชบุรี นครปฐมแถวๆ นี้ แต่ก่อนเขาไม่แต่งงานกันหรอก สมัยพี่เด็กๆ ที่บ้านโพธิ์ใหญ่อำเภอบ้านลาดนี่ร้อยบ้านมีไม่ถึงห้าบ้านที่เขาแต่งกัน ส่วนใหญ่ไม่ “ฉุด” ก็ “พา” กันทั้งนั้น รักชอบก็นัดแนะตามกันไป พ่อแม่ไม่ได้ห้ามอะไร เป็นใจให้พาลูกสาวเขาไปก็มีถ้าเห็นว่าเราไม่เหลวไหล เลี้ยงดูลูกเขาได้ คนแต่ก่อนเขายังมีคำพูดว่า “เมียขอเมียหมา เมียฉุดเมียเทวดา เมียพาเมียคน”

         ดิฉันนั่งบื้อ เซ่อและอ้ำอึ้งไปเลย ได้แต่ตาปริบๆ ฟังพี่เขาอธิบายด้วยอาการงงสุดขีด

         “ที่บอกเมียขอเมียหมา เราหมายถึงว่าไปป่าวร้องสู่ขอผู้หญิงมาทำเมียมันเหมือนไปขอลูกแมวลูกหมาเขามาเลี้ยง มีสร้อยสักสลึงครึ่งบาทก็ไปเอาเขามาได้ ไม่ต้องใช้ความสามารถอะไร ส่วนเมียฉุดนั่นเราต้องตามพวกมาช่วยกันสักห้าคน คอยเวลาเขาออกจากบ้านมาดูลิเก จับมัดแบกขึ้นหัว อุดปากยกตีนไม่ติดดิน ลอยเหาะไปเหมือนพวกเทวดาเวลาจะเอากัน (พี่เขาพูดอย่างนี้จริงๆ) สมัยก่อนไม่มียาคุม ข่มขืนปั๊บยังไงก็ต้องท้อง ทำให้ท้องเร็วๆ จะได้จบๆ เรื่องไป แล้วต้องถนอมเขาดูแลเขาให้ดีเพราะเอามายาก ส่วนเมียพาเมียคนนั่นเราเป็นมนุษย์รักกันพากันไป สบช่องก็พาหนีมาร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นคู่ทุกข์ยาก จะไปทิ้งขว้างเขาไม่ได้ ถือว่าลำบากอดออมมาด้วยกัน”

         “แล้วพี่ “พา” มาตั้งเกือบสิบคน เอาเขาไปทิ้งขว้างตรงไหนหมดล่ะ” ดิฉันถามกลับทันที งงไม่รู้แล้ว คนเรามันจะมีเมียเยอะขนาดนี้ได้ยังไง แถมรับผิดชอบเลี้ยงดูส่งเสีย…ถือว่าผู้หญิงที่หลับนอนด้วยมีสถานะเป็น “เมีย” ซะทุกคน จนน่าอัศจรรย์ว่าสามารถชอกช้ำทนถูกบดขยี้เพราะความรักความสัมพันธ์อันมีความจริงใจเป็นที่ตั้ง…ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ได้ยังไง

         “เขาทิ้งพี่หมด” ตาสวยๆ ของพี่นายหนังปรอยลงทันที เงารื้นๆ ของน้ำใสมองเห็นอยู่วับๆ “ไม่มีผู้หญิงคนไหนทนความเปล่าเปลี่ยวได้ พี่เล่นหนังปีละ 200 กว่าคืน หยุดแต่ช่วงเข้าพรรษา ดันเป็นช่วงเราถือศีลเสียอีก กลางวันพี่ก็ต้องทำงาน เมียเลยมีชู้ไปเสียทุกคน ช้ำใจจริงๆ เพิ่งไอ้คนหลังนี่แหละทำท่าจะอยู่ได้ทน อายุห่างกันเยอะ เขานับถืองานของเรา…คนนี้พี่ไปสู่ขอแต่งงานเรียบร้อย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่ยาวได้แค่ไหน…”

         ดิฉันเหลียวมองภรรยาคนสุดท้องของนายหนัง เธอสวยจัด ชนิดไปเล่นเป็นนางเอกละครทีวีได้สบาย สวยจนเหลียวมองเสียคอแทบเคล็ด เราอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน…สิบกว่าปีล่วงผ่านได้คบหายืดยาว เจอครั้งหลังเธอยังสวยอยู่เหมือนเดิม มีลูกแล้วหลายคน มีชีวิตครอบครัวราบรื่นสุขทุกข์พอประมาณ สามีถูกเอ็ม 16 ยิงถล่มรถกระบะเธอก็ไม่ยั่น เอาเรื่องอย่างถึงที่สุดไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมด้วยเป็นตำรวจเก่า ทั้งเป็นแม่งานแข็งขันต้มแกงจัดพิธีไหว้ครูหนังตะลุงช่วยสามีอยู่ทุกปี มีฝีมือ “แกงป่าไก่บ้าน” ได้เผ็ดร้อนอร่อยเด็ด จนดิฉันฝากท้องไว้เสียสามมื้อ กินมันทั้งวันเช้าจรดเย็นไม่ยอมลุกไปไหน จนเธอเกือบจะใส่ถุงห่อกลับบ้านแถมไปให้ แล้วว่างๆ ยังได้โทรศัพท์คุยกันฟังเธอปรับทุกข์เกี่ยวกับลูกผัวไปตามเรื่อง

         ในบทสนทนาของวันนั้น เรื่องเมียๆ ยังไม่จบง่ายๆ พี่นายหนังขยายความให้ฟังอีกด้วยว่า การฉุด การพา มิใช่ย่ามใจทำกันตามสบาย แต่มีขนบมีจารีตควบคุมรองรับหลังจากฉุดคร่าพาหนีไปแล้ว

         “ปู่พี่ พ่อพี่ พี่ชายพี่ ผู้ชายทั้งบ้านทั้งตระกูลเลยพาลูกสาวเขาไปทั้งนั้น เจ็ดวันสิบวันต้องส่งข่าวให้พ่อแม่ผู้หญิงรู้  ว่าเอาลูกเขาไปทางไหน ส่งข่าวมาก่อนว่าเขาจะรับสมาหรือไม่ ถ้าไม่รับก็พาหนีเปิดเลย เราต้องรีบติดต่อ ไม่บอกกล่าวไม่ได้มันหยามน้ำหน้า ยิงกันง่ายๆ ตอนพาไปฉุดไปไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าไม่สมานั่นฆ่ากันหลายศพ เราต้องบอกเขา พาลูกสาวเขามากราบ พอมีเงินอยู่บ้างก็ให้สร้อยให้แหวนให้เงินพ่อแม่ผู้หญิงสักสี่ห้าร้อย ไม่มีเงินก็สักเดือนหนึ่งหรือสักปี มีลูกหัวปีค่อยพามาหาตายายถึงตอนนั้นเห่อเลี้ยงหลานเสียเงินไม่มากแล้ว ไม่ต้องเสียก็มี ทำไงได้หลานมันออกมาแล้วนี่ แต่ยังไงก็ต้องส่งข่าวกราบสมากันเว้นไม่ได้ ถ้าคิดจะไม่สมาก็ต้องหนีให้ไกล ชนิดตามไม่ได้ เพราะบางคนไปฉุดเขามา ผู้หญิงไม่เต็มใจ เขามีคนรักของเขา ไปขืนใจเขาพ่อแม่พี่น้องเขาไม่ยอม เขาตามฆ่าอย่างถึงที่สุดด้วยเหมือนกัน เราต้องพาหลบให้ไกล ไม่ให้เมียเราหนีกลับบ้านได้”

         ดิฉันยังสืบถามมาหลายบ้าน หลายปีเป็นสิบปี ในระดับชาวบ้านแล้ว คนย่านตะวันตกเพชรบุรี ราชบุรี กระทั่งเมืองสมุทรสงคราม สมุทรสาคร รุ่นอายุ 50–60 ขึ้นไป ถามมาเป็นร้อยคน แทบไม่มีเกือบไม่มีที่ได้ทำพิธี “แต่งงาน” แห่ขบวนขันหมาก กั้นประตูเงินประตูทอง ขึ้นตั่งรดน้ำ การฉุดคร่านั้นเพชรบุรีเอากันหนัก แต่ส่วนใหญ่รักชอบล้วนแต่ “พา” กันไปทั้งสิ้น คิดคำนวณคงมากกว่า 95% เห็นจะได้ คุณตาประยงค์ อ่ำกลัดอายุ 85 ปี คนท่าแร้ง อำเภอบ้านแหลม เล่าให้ว่า “เมื่อก่อนฉุดคร่าลักพากันทั้งนั้น เมียตาก็พาไป เราเอาไปไม่ไกลด้วยซ้ำ เลยคุ้งน้ำไปคุ้งเดียว ญาติผู้หญิงเขารู้ทั้งนั้น หมู่บ้านมันแคบ ทำอะไรรู้หมด คนทางนี้เขาอยู่แบบนี้ทำอย่างนี้ทุกบ้าน ลูกสาวหนีตามผู้ชายไม่ใช่เรื่องน่าอาย เพราะเรารู้ว่าเขาหนีไปมีผัว ไม่ใช่หนีไปให้ใครย่ำยีเล่นๆ”

         “ที่ไม่แต่งน่ะหรือ…”คุณตาประยงค์อธิบายเพิ่มเติม….”คนแต่ก่อนจนจะตายห่า เงินไม่มี มีแต่ที่นากับเรี่ยวแรง ขืนรอให้มีเงินไปขอลูกสาวใคร ไม่ต้องมีเมียมีผัวกันพอดี จัดงานแต่งงานใช้เงินมากคนบ้านๆ ไม่มีเงินกันหรอก มาสมาทีหลังเสียเงินน้อยกว่าเยอะ พอเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาเราก็อยากเอาเมียผู้หญิงเขาก็อยากเอาผัว เราชอบเรารักถึงพากันไป จะได้อยู่ช่วยกันทำมาหากิน จะฉุดคร่าลักพาคนแต่ก่อนอยู่กันยืดทั้งนั้น เรารับผิดชอบเขาเป็นผัวเขา ไม่ไปทอดทิ้งให้เขาอับอาย”

         เรื่องของการแต่งงาน จัดพิธีเต็มรูปแบบจึงเป็นเรื่องที่พี่นายหนังตะลุงเล่าว่า  “ตอนพี่เด็กๆ มีน้อยมาก พวกลูกข้าราชการ ลูกคนมีสตางค์เหมือนกัน เขาถึงจะทำ เป็นเรื่องหน้าตาของพ่อแม่ ของคนตามตัวจังหวัด ส่วนใหญ่ตามบ้านๆ เราฉุดเราพาผู้หญิงไปทั้งนั้น”

         สำหรับ “หน้าตา” ที่พ่อแม่จะได้จากการฉุดการพา คุณน้าผู้หญิงข้างบ้านเล่าให้ฟังอย่างชัดเจนว่า…”จนหน่อยก็อุดปากจับมัดลากข้ามคันนาไป พอมีอันจะกินก็เอาขึ้นหลังควาย สมัยน้าสาวๆ มีฉุดขึ้นรถเก๋ง ผู้คนตื่นเต้นกันทั้งหมู่บ้าน เมื่อสิบกว่าปีก่อนจำได้คล้ายๆ ว่า ลูกชายร้านทองหรืออะไรนี่แหละมาฉุดลูกสาวเจ้าของร้านขนมหม้อแกง…พาขึ้นเรือบินไปอเมริกา ฮือฮากันทั้งจังหวัด ไม่มีใครหรูแฟ่ขนาดนี้อีกแล้ว…นั่นแหละพ่อแม่ผู้หญิงหน้าบานเป็นจานเชิงไปเลย!”

         ฟังแล้วมึนไปอีกรอบ เพิ่งรู้นี่แหละการฉุดคร่า…เป็นเรื่องของ “หน้าตา” กับเขาได้ด้วย ดูมันจะต่างไปคนละขั้วกับไอ้เรื่องที่เคยรู้ๆ ไปเสียสิ้น

         นั่นทำให้ดิฉันได้ฉุกคิด และมาทบทวนพิจารณาสุภาษิตเก่าที่กล่าวว่า “มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน” อีกครั้ง และได้พบว่าเรื่องของส้วมกับลูกสาวได้บ่งชี้นัยยะความสัมพันธ์ของคนระดับต่างๆ ในสังคมไทยสมัยก่อนเป็นอย่างดี เพราะบ้านที่จะมี “ส้วม” ใช้ล้วนเป็นบ้านของข้าราชการของผู้มีอันจะกินมีหน้ามีตาในสังคม ส่วนชาวบ้านทั่วไปกระทั่งเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ตามที่ไกลๆ สมัยดิฉันยังเด็กๆ เขาล้วนไปทุ่ง ไปนั่งขี้บนขอน ขี้ลงน้ำ ไม่เคยมีส้วมกันสักบ้าน ลูกสาวชาวบ้าน คนที่เป็นไพร่บ้านจึงมีอิสระสามารถหนีตามผู้ชายได้อุตลุด โดยไม่ต้องถูกกดดันบีบคั้นว่าย่ำยีเหยียบย่ำหัวจิตหัวใจพ่อแม่ เป็นเรื่องปกติของสังคมจึงไม่ต้องไปเป็นส้วมหน้าบ้านของใครทั้งสิ้น…ผิดกับลูกสาวของคนชั้นสูงมีระดับ ที่ถูกเก็บคาบ้านไว้อย่างกับจะติดคุก จะมีผัวทั้งทีต้องหาที่เหมาะสมและมีระดับพอๆ กัน ดูชะตากรรมของคุณหญิงกีรติแห่งข้างหลังภาพเป็นตัวอย่างเถอะ…ด้วยเหตุนี้การแต่งงานที่ถูกจัดขึ้นระหว่างข้าราชการ ขุนนาง เจ้าเมือง เศรษฐีพญารี ตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลผู้มีปัญญาสร้างส้วมไว้ใช้ จึงมักเป็นเรื่องของการเมืองและการจัดสรร เชื่อมไมตรีเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์เสียเป็นสำคัญ และทำให้การหนีตามผู้ชายไปของลูกสาวคนมีสตางค์ กลายเป็นเรื่องอับอายชนิดคอขาดบาดตายขึ้นมาได้

         ลุงบุญลอย เดชบุญ อายุ 73 ปีคนบ้านคลองสองร่อง เมืองสมุทรสงคราม ได้ย้ำหนักแน่นให้ดิฉันฟังอีกว่าสมัยลุงเป็นหนุ่มเป็นสาว คนรอบบ้านล้วนตั้งครอบครัวด้วยการ “พา” กันไปแทบทั้งนั้น

         “ลูกสาวถูกพาไป หนีตามผู้ชายไป ตามบ้านๆ เราถือเป็นของธรรมดา พ่อแม่ไม่เห็นต้องอายอะไร เกิดเป็นผู้หญิงต้องมีผัว…เป็นของปกติ เดี๋ยวนี้ต่างหากมันผิดปกติ ไปหลับไปนอนกันแต่ไม่ยอมเป็นผัวเป็นเมียกัน”

         ในทัศนะของชาวบ้านแล้วเขาฉุดคร่าลักพากันไปตั้งครอบครัว มิใช่เรื่องเสียหาย เป็นผู้หญิงยังไงก็ต้องมีผัว เพศสัมพันธ์แม้ไม่มีพิธีแต่งงานรองรับ แต่จารีตและขนบสังคมภาคกลางก็วางครรลองไว้ชัดเจนว่า ได้หลับนอนกันแล้วคือผัวคือเมีย ฝ่ายชายต้องรับผิดชอบดูแลให้ตลอดรอดฝั่ง ผู้ชายไทยชาวบ้านในสังคมยุคที่ผ่านมาถือกันเช่นนี้ จะแต่งหรือไม่แต่งหากมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงกี่คนถ้าไม่ใช่ไปเที่ยวซ่องนั่นคือการเปลี่ยนสถานภาพของผู้หญิงไปเป็นเมีย…จะกี่คนก็เป็นเมีย และเมื่อเป็นผัวเมียก็ต้องมีหน้าที่พึงปฏิบัติระหว่างกันตามมาอีกหลายสถาน สาเหตุหลักประการหนึ่งที่เพศสัมพันธ์ของชาวบ้านรุ่นปู่ย่าคือเรื่องของการเป็นผัวเป็นเมีย น่าจะเป็นเพราะสมัยก่อนเทคโนโลยีต่ำ ไม่มีอุปกรณ์คุมกำเนิดใดๆ ให้หามาใช้ง่ายดายเหมือนยุคนี้ หญิงชายหลับนอนกันไม่เท่าไหร่ก็ท้องขึ้นมาแล้ว การรับผิดชอบผู้หญิง รับผิดชอบลูกที่จะเกิดมาจึงฝังลึกเป็นจารีต ลักพาฉุดคร่าจึงมิใช่เรื่องน่าอับอาย แต่ถ้าท้องคาบ้านแล้วฝ่ายชายหนีหน้านั่นแหละจะกระอักเลือดเอาทั้งบ้าน และฝ่ายผู้ชายที่ไม่รับผิดชอบนั่นถ้าไม่ถูกตามล่าตามฆ่า ก็ถูกหมายหัวว่าหน้าตัวเมีย ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย เสียเกียรติ หมดศักดิ์ศรี ไม่มีน้ำหน้าให้ใครมาเชื่อถือได้

         ด้วยจารีตดังนี้ ลูกสาวหนีตามผู้ชายถึงได้เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องธรรมชาติพอๆ กับการเดินไปขี้ในทุ่งสำหรับชาวบ้านผู้ไม่เคยสร้างส้วมเอาไว้….ตรงมุมไหนๆ ของบ้านทั้งสิ้น

         แต่พอถึงยุคใหม่ ยุคที่มีส้วมทุกบ้าน เทคโนโลยีสูงจนเดินไปมุมไหนของถนนก็หาซื้อถุงยางอนามัยได้ทุกที่ เพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะกระทำในนามความรักหรือความใคร่จึงกลายเป็นเรื่องเอามัน เอาเงิน เพราะไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องการตั้งท้องออกลูกกันอีก การหลับนอนไม่ได้ทำให้คนเป็นผัวเมียอีกแล้ว สังคมสมัยใหม่โยนจารีตเดิมทิ้งไม่เหลือซาก มีหนุ่มสาวมากมายพยายามตั้งครอบครัวด้วยการทำตามศีลธรรมอันดีของสังคมไทยอย่างที่เชื่อๆ กันมาด้วยการทำพิธีแต่งงาน…แต่กลับประคับประคองครอบครัวไว้ไม่ได้ ขณะที่อีกมากมายทั้งหญิงชายต่างก็ “ฟัน” แล้วทิ้งต่างคนต่างไป กับทั้งมีข้อถกเถียงไม่จบสิ้นว่าอยู่ก่อนแต่งมันทำให้สังคมเสื่อมทราม ไม่เป็นหลักประกันใดๆ ให้กับผู้หญิง ขณะที่อีกฝ่ายให้เหตุผลว่าสมัยนี้ทดลองอยู่กันไปก่อน หากอยู่กันได้ค่อยแต่งงานกัน น่าจะทำให้อยู่กันยืด

         น้องสาวที่รักคนหนึ่งอยู่กับแฟนมาสองปีกว่า รักกันชื่นฉ่ำเป็นคู่ตัวอย่าง จนตัดสินใจจัดงานแต่งงานน่ารักแบบแคมป์ไฟกลางสวน…ฉายสไลด์คำอวยพรผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่าน ดูท่าจะเป็นสิริมงคลที่ดีกับชีวิต อยู่กันไม่ทันสองเดือนผู้ชายก็ออกลาย ซ้อมเมีย ตบเตะชกหน้าตาบวมปูด กระทืบหัวน่วม ด่าทอเหยียบย่ำบุพการีพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่เหลือชิ้นดี น้องสาวคนนี้โดนกระทืบเสียหลายรอบ ทั้งที่ไม่มีสาเหตุอันเป็นรูปธรรมเด่นชัดนอกจากเมียสวย เมียเก่งกว่า เมียเคยมีแฟนมาแล้ว หากก่อนหน้านี้สามียอมรับได้ทุกอย่างไม่เคยเป็นปัญหา แต่เมื่อพิธีแต่งงานผ่านพ้น อาจเพราะฝ่ายหญิงตกงานเริ่มหมดตังค์ให้ไถ และฝ่ายชายกลัวต่อความรับผิดชอบที่จู่โจมเข้ามาอย่างไม่อาจถอยหนีไปไหนได้…มือที่เคยลูบหัวด้วยความรักจึงกลายเป็นหลังมือและหลังตีนซัดกระหน่ำไม่มียั้ง ประวัติชีวิตภรรยาถูกขุดขึ้นมาเหยียบย่ำด่าทอ ด่าไล่ไปถึงพ่อแม่ฝ่ายหญิง โดนโขกสับขับไล่สารพัดแต่เธอก็ยังทนอยู่ในนรก เป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไปเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางไปอยากประคับประคองครอบครัวเดียวที่มีอยู่เอาไว้ จนสามีไล่ส่งออกจากบ้าน  หมดเยื่อสิ้นใยสิ้นน้ำใจ ไม่มีอะไรเหลือ เธอจึงพาซากชีวิต หัวปูดน่วม เนื้อตัวบาดเจ็บเขียวฟกเป็นจ้ำๆ และเบ้าตาดำช้ำเป็นหมีแพนด้ามาหาเพื่อนหาพี่…ให้ประคับประคองอยู่กันไป

         ชีวิตแต่งงานล่มสลายภายในหกเดือน อยู่ก่อนแต่งไม่เป็นหลักประกันใดๆ  ว่าจะทำให้รู้จักความกักขฬะของอีกฝ่ายหนึ่งได้หรือไม่

         น้องสาวที่รักอีกคนหนึ่ง ยื่นการ์ดแต่งงานส่งมาให้ เธอสวยแจ่มใสเป็นเด็กดีของครอบครัว บอกว่าพี่คะหนูจะแต่งงานแล้วค่ะ จะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับแฟนได้โดยพ่อแม่ไม่กังวลใจ

         พิธีจัดขึ้นอย่างน่ารักอีกเหมือนกัน เป็นน้องสาวน้องชายนิสัยน่ารักและเป็นคนดีทั้งสองคนแต่เพียงปีกว่าๆ ก็พัง ปัญหามะรุมมะตุ้มและต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตน ดังนั้นแยกย้ายกันไปดีกว่า

         ความดีไม่ได้ทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกันได้ แต่งก่อนอยู่ก็ไม่อาจเป็นหลักประกันใดๆ ได้อีกเช่นกัน

         จารีตสมัยก่อนของชาวบ้านเป็นครรลองอันแจ่มชัด…เขาไม่มานั่งถามนอนถามกันกับไอ้คำถามสตึๆ แต่งก่อนอยู่หรืออยู่ก่อนแต่งอย่างที่ถามกันในสมัยนี้หรอก มันไม่ใช่สาระของชีวิต จะแต่งหรือไม่แต่งกระทั่งการฉุดคร่าพากันไปคนมันก็ยังอยู่กันได้ ตั้งเป็นครอบเป็นครัวขึ้นมาได้ เพราะสังคมทั้งสังคมได้บ่มเพาะศีลธรรมเมตตาธรรมลงในจิตใจสมาชิกชุมชน เป็นพื้นฐานคอยปกป้องดูแลอยู่ เป็นจารีตเป็นข้อตกลงที่รับรู้กันทั่วทั้งชุมชน  ไม่ให้เพศสัมพันธ์เป็นเรื่องตักตวงเอาแต่ความสนุก แต่เพศสัมพันธ์คือการทำให้คนกลายเป็นผัวกลายเป็นเมีย ให้หญิงและชายตระหนักถึงความรับผิดชอบทั้งกายและใจต่อกัน สำนึกถึงหน้าที่ระหว่างกัน โดยมีครอบครัวทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิง มีการนินทาว่าร้ายคอยควบคุมกำกับ การหลับนอนจึงมิใช่เรื่องสนุกเอาแต่ได้ ต่างคนต่างได้แล้วสะบัดก้นจากกันไปเหมือนปัจจุบันนี้

         ซึ่งถุงยางอนามัย เทคโนโลยีคุมกำเนิดต่างๆ ได้ร่วมเป็นแรงหนุนให้เปิดรับวัฒนธรรมทางเพศของฝรั่งและก่อเกิดทัศนะทางเพศสัมพันธ์แบบใหม่จนทำลายจารีตชาวบ้านไปเสียหมดสิ้น

         ส่วนการวิวาทระหว่างผัวเมียนั้น ระดับทะเลาะตบตีพอหอมปากหอมคอน่ะพอได้ ที่สืบถามมาหลายคุณลุงบอกว่าเรื่องปกติ ถูกเมียตบหรือเอาครกทุ่มหัวแตกเพราะหลบไม่ทันก็เจอบ่อยๆ แต่ไอ้จะซ้อมเมียเสียปางตายนั่นชาวบ้านเขาไม่ทำกันหรอก เมียไม่ใช่สัตว์ กับวัวควายยังรักยังเห็นบุญคุณไม่มีใครไปทารุณ อีกประการหนึ่งขืนทำร้ายเมียพ่อแม่ญาติพี่น้องฝ่ายหญิงมารุมกระทืบกันพอดี และที่สำคัญ ฉุดเขามาพาเขามา เขาใจเด็ดตามมาด้วย มีน้ำใจกับเราขนาดนั้น จะไปกระทืบเขาได้อย่างไร…ตบเมียเสียสิริมงคลของชีวิต

         บนแผงพระเครื่องริมวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ แหล่งชุมนุมของชายไทยชาวบ้านรุ่นหนุ่มใหญ่ไปถึงแก่ ผู้ย้ายหลักแหล่งจากต่างจังหวัดมาอัดกันอยู่ในกรุงเทพฯ คุณลุงคุณตามุงกันคุ้ยหายาโด๊ปเพิ่มกำลัง หาพระเครื่อง เครื่องรางของขลังต่างๆ กันคร่ำเคร่ง รู้ทั้งรู้ว่าทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจป้องกันแรงตบของเมียได้ แต่ก็ยังคุ้ย..ซื้อหาไปเป็นกำลังใจไว้ปะทะปะทังกับกำลังฝ่ามือเมีย

         เพราะเมียนั้นร้ายกว่ากระสุนเอ็มสิบหก ดังที่คุณลุงเจ้าของแผงพระเครื่องประกาศถึงสรรพคุณของปลัดขิกศักดิ์สิทธิ์ที่ป้องกันได้ทุกคมอาวุธ แต่แพ้อยู่อย่างเดียวคือแรงตบของเมีย…เมียรุ่นเก่าผู้ใจเด็ดหอบผ้าหนีตามมาลำบากเป็นคู่ยากด้วยความรัก เมียที่ต้องไหว้วานเพื่อนฝูงไปช่วยอุดปากฉุดลากตีนลอยไม่ติดดินแบกขึ้นกบาลมาแบบเมียเทวดา…เมียแก่ๆ ที่ผัวแก่ๆ ผู้มีศีลธรรมทางใจเคารพในน้ำใจเมียอยู่เสมอ…ผิดกับเมียขอ..เอามาเข้าพิธีแต่งงาน เหมือนไปขอลูกหมูลูกหมาอย่างวัฒนธรรมของการแต่งเมียสมัยนี้…ที่จะตบจะกระทืบเอาเสียเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีจารีตทางสังคมใดๆ มาดูแล ไม่มีพ่อแม่พี่น้องฝ่ายหญิงมาปกป้อง เพราะต่างคนต่างอยู่ แถมส่วนใหญ่ก็เป็นครอบครัวบ้านแตกกันทั้งนั้น…วุ่นวายกับการทำมาหากินในเมืองใหญ่ กับครอบครัวใหม่จนไร้กำลังจะมาคุ้มครองลูกสาวตัวเอง หนุ่มรุ่นใหม่จึงตบเมียได้เต็มมือเต็มตีนอย่างมีอิสระมากขึ้น สิริมงคลในชีวิตไม่ต้องพูดถึง ศีลธรรมในใจไม่เคยรู้จักอยู่แล้ว เพราะมุ่งไปแต่ตามแรงทะยานอยากของความสำเร็จทางการเงินการงาน…แถมยังป่วยไข้ทางใจไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอในการเผชิญชีวิต จึงแก้ปัญหาความไม่ลงตัว ความหงุดหงิดในครอบครัว…ง่ายที่สุดด้วยการตบเมีย แถมตบและซ้อมจนตายคามือคาตีน ผู้รักษากฎหมายและทำหน้าที่รักษาความยุติธรรมของสังคมยังไม่ยอมเอาผัวโหดเข้าคุกเสียอีก

         ส่วนเมียก็ไม่ใช่เล่น ทั้งแสบทั้งโหดได้พอๆ กัน ไม่งั้นจะถูกเปรียบเทียบว่าร้ายยิ่งกว่ากระสุนปืนเอ็ม 16 นั่นหรอกหรือ เอาเข้าจริงแล้ว บทคนมันจะโหด หญิงหรือชายหากจิตใจใฝ่ทะยานสะสมแต่ความเหี้ยม มันก็อำมหิตชนิดพอฟัดพอเหวี่ยง ไม่มีใครเป็นรองใคร เพียงแต่ส่วนใหญ่ที่เป็นกันอยู่ คนซ้อมมักเป็นผู้ชายส่วนคนถูกทำร้ายมักเป็นผู้หญิง

         อะไรจะปกป้องเมียยุคนี้ไว้เล่า หากผัวมันโหดจนกระทั่งทดลองอยู่ด้วยกันก่อนยังแอบซ่อนจนไม่อาจรู้จักความเหี้ยมอำมหิตนั้นได้

         ปลัดขิกขลังเท่าขลังปลุกเสกโดยพระอาจารย์ชื่อดัง…แม้จะป้องกันเมียตบไม่ได้ แต่ก็พอให้กำลังใจไปต่อสู้กับทุกศาสตราวุธได้ แต่จะหาเครื่องราง ศีลธรรม เมตตาธรรมอันใดยัดลงในวิญญาณผัวเพื่อลดทอนแรงตบของที่กระทำต่อเมียยุคปัจจุบันได้เล่า

         เพราะเอาเข้าจริงแล้วเมื่อจารีตเดิมล่มสลาย ศีลธรรมล่มสลาย เพศสัมพันธ์ถูกแยกขาดจากสำนึกเมีย-ผัวจนไม่เหลือการตระหนักถึงบทบาทหน้าที่อันพึงมีพึงเป็นระหว่างกัน ไร้ซึ่งการเห็นค่าของน้ำจิตน้ำใจของกันและกัน จะแต่งหรือไม่แต่ง จะปลุกเสกเครื่องรางใดมาป้องกันไว้หรือไม่ เมียๆ ผัวๆ ยุคนี้ก็มีโอกาสถูกตบถูกทำร้าย ถูกห้ำหั่นทางจิตใจได้หนักหน่วงพอๆกัน

         ถึงตอนนั้นจึงจะได้รู้…จะเพิ่งมาพยายามรักษา “ศีลธรรมอันดี” ของชีวิตลูกสาวลูกชาย ของหนุ่มสาวในสังคมด้วย “พิธีแต่งงาน”

         มันสายเกินไปเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

Please enter your comment!
Please enter your name here