บังคับทรงผม = ข่มขืน
คอลัมน์ : คุยเรื่องเพศกับพระชาย
เรื่องโดย : พระชาย วรธรรม [แนะนำผู้เขียน]
เมื่อวันที่ 1พฤษภาคม ที่ผ่านมามีประกาศจากกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนที่สำนักข่าวต่าง ๆ ขึ้นหัวข่าวประมาณว่า “เด็กไทยมีเฮจะได้ไว้ผมยาว” แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ ข้าพเจ้าคิดว่าเด็ก ๆ อาจไม่ได้ไว้ผมยาวอย่างที่จั่วหัวไว้ก็ได้
ที่จริงประกาศฉบับนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่ในสายตาข้าพเจ้า เมื่อวิเคราะห์จากเนื้อหาแล้วพบว่ามีเนื้อหาเดิม ๆ ว่านักเรียนชายไว้สั้นหรือยาวได้ไม่เกินตีนผม ส่วนนักเรียนหญิงไว้สั้นหรือยาวก็ได้ ถ้าไว้ยาวให้มัดให้เรียบร้อย แต่ที่เพิ่มเติมแบบผิดสังเกตก็คือ ห้ามดัด ห้ามย้อม ห้ามตัดแต่งทรงผมให้เป็นสัญลักษณ์ลวดลาย ซึ่งถ้าเทียบกับประกาศทรงผมฉบับก่อน ๆ ก็ยังไม่ “เยอะ” ขนาดนี้
และที่รู้สึกผิดปกติคือข้อ (7) กับ ข้อ (8)ที่ทำให้ประกาศกฎกระทรวงฉบับนี้ดูมีเลศนัยบางอย่าง
ข้อ (7) อ่านแล้วมีใจความว่า “ให้สถานศึกษาวางระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้” คุณผู้อ่าน ๆ แล้วรู้สึกคุ้น ๆ บ้างไหม แปลว่าที่เขียนมาทั้งหมดคือยกอำนาจให้โรงเรียนเป็นผู้ออกแบบทรงผมอยู่ดี คือแทนที่กฎระเบียบจะมุ่งไปที่การควบคุมวิถีปฏิบัติของโรงเรียนที่ต้องไม่ละเมิดหรือเข้มงวดกับทรงผมของนักเรียนมากจนเกินไป กลับกลายเป็นว่าประกาศกฎกระทรวงฉบับนี้คือการมอบอำนาจให้โรงเรียนเป็นผู้จัดการแบบเต็มเหนี่ยว ในขณะที่สถานการณ์ที่ผ่านมาสิ่งที่ปรากฏก็คือโรงเรียนละเมิดเส้นผมของนักเรียน มีการไถ ตัด กร้อนโดยครูปราศจากความผิด แทนที่ประกาศฉบับนี้จะไปควบคุมโรงเรียนว่าห้ามเข้มงวดหรือทำอะไรกับเส้นผมของนักเรียน ประกาศฉบับนี้กลับไม่พูดอะไรเลย หนำซ้ำกลับมอบอำนาจให้โรงเรียนเป็นผู้จัดการแบบเสร็จสรรพ
ยังไม่พอ .. ตบท้ายข้อ (8) ด้วยการมอบอำนาจให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจในการตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบทรงผม กล่าวคือถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาระหว่างนักเรียนกับครู เช่น ครูบอกให้เกรียนแต่นักเรียนต้องการรองทรง แทนที่จะมอบอำนาจให้นักเรียนมีสิทธิต่อรองแสดงเหตุผล กลับกลายเป็นว่าไปมอบอำนาจให้ใครก็ไม่รู้ให้มีอำนาจในการตีความและวินิจฉัยปัญหา เท่ากับว่าประกาศทรงผมฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อกันท่าให้โรงเรียนยังไงยังงั้น
ประกาศกฎกระทรวงศึกษาธิการฉบับนี้จึงมีอะไรหลายอย่างเคลือบแคลง ไม่โปร่งใส มีเลศนัย ไม่อยากเชื่อว่านี่คือประกาศกฎกระทรวงที่ออกมาจากรัฐมนตรีที่จบปริญญาจากเมืองนอก มีภริยาเป็นถึงเจ้าของโรงเรียนเอกชนอันมีชื่อเสียง แต่ออกกฎกระทรวงควบคุมเด็กราวกับเด็กเป็นอาชญากร ไว้ผมทรงอะไรไม่ได้เลยต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของโรงเรียน ถ้าจะให้วิจารณ์กฎกระทรวงฉบับนี้ก็คือการถอยหลังเข้าคลองสู่อำนาจนิยมแบบสิ้นสภาพ
ประกาศทรงผมของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับล่าสุด วันที่ 1 พฤษภาคม 2563
ที่มา https://www.kroobannok.com/88061
1. ประวัติศาสตร์ผมเกรียนติ่งหูมาจากไหน
อ. นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักคิดนักเขียนคนดังเคยเขียนบทความกล่าวถึงทรงผมของเด็กไทยไว้ว่าผมทรงลานบินของเด็กไทยเริ่มขึ้นในยุคที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยจอมพล ป. ไปลอกเลียนแบบผมทรงเกรียนมาจากทหารญี่ปุ่นที่ยกพลขึ้นบกผ่านทางเข้ามาในเมืองไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2เป็นไปได้ว่าผมทรงเกรียนติ่งหูน่าจะเริ่มมีมาตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2482 ตามที่ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยเขียนไว้1
อ.นิธิ วิเคราะห์ว่าผมทรงลานบินคือการกล่อมเกลาเด็กให้มีจิตใจแบบทหาร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงข้าพเจ้าคิดว่า จอมพล ป. คิดผิดเสียแล้ว เพราะเด็กไม่ใช่ทหาร เด็กเพียงแค่ต้องการไปโรงเรียนเพื่อเอาความรู้ . ไม่ได้จะเอาความเป็นระเบียบแบบทหารไปรบราฆ่าฟันกับใคร นี่อาจเป็นผลเสียประการหนึ่งหรือเปล่าที่เรามีผู้นำเป็นทหาร นโยบายต่าง ๆ จึงถูกออกแบบมาคล้ายกำลังเคลิบเคลิ้มและจินตนาการว่าประชาชนคือพลทหารที่ต้องลงฝึกภาคสนามไปเสียหมด
2. ปี 2518 เคยประกาศอนุญาตผมยาว
ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านี้เมื่อ 7 ปีที่แล้ว พ.ศ. 2556กระทรวงศึกษาธิการเคยออกประกาศเรื่องทรงผมมาแล้วครั้งหนึ่งว่า เด็กชายไว้ยาวได้ไม่เกินตีนผม สาเหตุที่ปีนั้นกระทรวงศึกษาธิการออกมาประกาศแบบนี้ก็เพราะมีการพูดถึงการละเมิดเส้นผมที่ครูกระทำกับนักเรียนด้วยการกร้อนผมไถผมจนเสียทรง และมีการโจษขานกันในสังคมออนไลน์มากขึ้นเกี่ยวกับทรงผมเด็ก เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปควรฟังเสียงของเด็กมากขึ้น
เวลานั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ได้สั่งการให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการจัดทำหนังสือเวียนเพื่อแจ้งไปยังสถานศึกษาทุกแห่ง เพื่อกำชับเรื่องทรงผมของนักเรียนต้องยึดตามกฎกระทรวงฉบับ พ.ศ.2518 ซึ่งเป็นฉบับที่เคยระบุไว้ชัดเจนว่าให้นักเรียนชายไว้ยาวแบบรองทรงได้ นักเรียนหญิงเลือกไว้ผมสั้นหรือยาวได้2
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ นายพงศ์เทพ ได้สั่งการให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการออกหนังสือเวียนไปยังสถานศึกษาทุกแห่งเพื่อปรับเปลี่ยนทรงผมของนักเรียนชายให้ไว้รองทรงได้ ปรากฏว่ามีสถานศึกษาเพียงไม่กี่แห่งที่ปฏิบัติตาม ในขณะที่สถานศึกษาหลายแห่งยังคง “ลักไก่” บังคับผมเกรียน นักเรียนชายหลายโรงเรียนพยายามนำหนังสือเวียนที่เผยแพร่อยู่ในเว็ปไซต์ต่าง ๆ มาชี้แจงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับครูที่อ้างว่าไว้ผมยาวผิดระเบียบแต่ก็ดูเหมือนว่าหนังสือเวียนที่ออกมาจากกระทรวงจะไร้ความศักดิ์สิทธิ์เพราะในที่สุดครูก็จะบอกกับนักเรียนว่า “นี่เป็นกฎของโรงเรียน ถ้าไม่พอใจก็ไปเรียนที่อื่น”
เป็นไปได้อย่างไรที่กฎโรงเรียนจะใหญ่กว่ากฎกระทรวง แต่นี่ก็เป็นไปแล้ว
อีกประเด็นที่ควรนำมาพิจารณากันก็คือ ถ้านำประกาศเรื่องทรงผมของกระทรวงศึกษาธิการที่ผ่านมาเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนหญิงซึ่งกล่าวไว้ลอย ๆ ว่า “ไว้สั้นหรือยาวก็ได้” ก็มิได้บังคับว่าถ้าสั้นต้องสั้นระดับติ่งหู และไม่ได้บอกว่าห้ามซอย แต่สิ่งที่ปรากฏก็คือนักเรียนหญิงมักถูกบังคับให้ไว้สั้นได้ไม่เกินติ่งหูเท่านั้น และถ้าซอยผมมาก็ถูกลงโทษว่าผิดระเบียบ ทั้ง ๆ ที่กฎกระทรวงก็ไม่ได้ระบุว่าห้ามซอย
หนังสือเวียนจากกระทรวงศึกษาธิการออกเมื่อ 17 มกราคม 2556 อนุญาตให้นักเรียนชายไว้รองทรงได้โดยอ้างอิงกฎกระทรวงที่ออกมาเมื่อ พ.ศ. 2518 ว่านักเรียนชายสามารถไว้ยาวได้ไม่เกินตีนผม และนักเรียนหญิงก็ไม่ได้บังคับให้ติ่งหู
ที่มา http://www.krusmart.com/student-hair-rule/
3. ผมเกรียนกลับมาเมื่อตุลาแพ้พ่าย
ก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นักเรียนชายหลายโรงเรียนได้ไว้รองทรงกันทั่วหน้า ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นผมเกรียนถูกนำกลับเข้าสู่รั้วโรงเรียนอย่างจริงจังอีกครั้งภายหลังการพ่ายแพ้ของนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19
ย้อนหลังกลับไปกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 (ประมาณ 44 ปีที่แล้ว) ภายหลังจากที่นักศึกษาถูกล้อมปราบในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์มีความเคลื่อนไหวจากกระทรวงศึกษาธิการกล่าวถึงทรงผมของนักเรียนว่าจะให้มีการเข้มงวดกับนักเรียนชายโดยไม่ให้ไว้ผมยาวอีกต่อไปโดยเริ่มปีการศึกษาใหม่ 2520
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันที่ 20 ตุลาคม 2519 มีการกล่าวถึงการปรับเปลี่ยนทรงผมโดยกระทรวงศึกษาธิการไว้ดังนี้
“นายจรูญ วงศ์สายัณห์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติราชการในฐานะ รมต.กระทรวงศึกษาธิการ เรียกประชุมครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ โรงเรียนมัธยมศึกษา และอาชีวศึกษาในสังกัดทั้งโรงเรียนราษฎร์และรัฐบาลทั่วประเทศ ให้เตรียมตัวให้พร้อมไว้รับแผนปฏิรูปใหม่ ทั้งด้านการแต่งตัวและหลักสูตรการสอนตามนโยบายของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
เรื่องการแต่งตัวนั้น นายจรูญชี้แจงว่า เวลานี้นักเรียนทุกคนเหมือนคนไข้เพิ่งพักฟื้น จะเปลี่ยนแปลงทันทียังไม่ได้ คณะปฏิรูปฯจึงให้ผ่อนผันไว้ก่อน ตั้งแต่ พ.ย. จนถึงสิ้นปีการศึกษา 2519 และพอขึ้นปีการศึกษาใหม่ 2520 ก็จะออกระเบียบว่าด้วยการแต่งกายของนักเรียนเสียใหม่ ทั้งเครื่องแบบและทรงผม ซึ่งจะบังคับให้ตัดสั้น ไม่ให้ไว้ผมยาวหรือรองทรง ขอให้ครู อาจารย์ ได้นำเรื่องที่จะปฏิรูปการแต่งกายของนักเรียนใหม่ไปชี้แจงให้นักเรียนและผู้ปกครองได้ทราบล่วงหน้า เพื่อเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ก่อนที่จะถึงเวลาดังกล่าว”
ที่มา : เฟสบุค บันทึก 6 ตุลา
https://www.facebook.com/6tula2519/photos/a.1206397566085729/2146429012082575/?type=3&theater
อาจเรียกได้ว่าจุดเริ่มต้นผมเกรียนติ่งหูอันเป็นคลื่นลูกที่สองมีจุดเริ่มต้นมาจากหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 (คลื่นลูกแรกทำโดย จอมพล ป.) เมื่อขบวนการนักศึกษาพ่ายแพ้ต่อรัฐ รัฐอาศัยช่วงเวลานี้เปลี่ยนแปลงทรงผมของนักเรียนตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา รัฐบาลคงเล็งเห็นว่าวิธีการที่จะลิดรอนสิทธิเสรีภาพต้องทำกันตั้งแต่เด็กอยู่ในวัยเยาว์ อย่าปล่อยให้เด็กมีความคิดเป็นของตนเอง ต้องให้เด็กคิดเหมือนๆ กัน ทำเหมือนๆ กัน อยู่ในระบอบเผด็จการณ์เหมือน ๆ กัน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น “เผด็จการณ์เริ่มต้นในรั้วโรงเรียน” ก็ว่าได้
4. เนติวิทย์ต่อต้านเกรียน
อย่างไรก็ดี ในยุคสมัยของเรามีนักเรียนคนหนึ่งที่ไม่ยอมจำนนต่อการล่วงละเมิดเส้นผม นั่นคือเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ตอนที่เขาอยู่ ม.6 เขาถึงกับเขียน “จดหมายกล่าวโทษผู้อำนวยการโรงเรียน” ที่ปล่อยให้ครูกร้อนผมนักเรียนจนเสียทรง เนติวิทย์อ้างว่าการลงโทษด้วยการกร้อนผมมิได้มีอยู่ในกฎกระทรวง แต่เหตุไฉนผู้อำนวยการจึงปล่อยให้ครูปฏิบัติเกินเลยกับนักเรียนได้ขนาดนี้ เขาอ้างถึงสิทธิในเนื้อตัวร่างกายว่าถ้าครูทำกับนักเรียนได้ ถ้าเช่นนั้นวันใดครูไม่สวมชุดข้าราชการมาสอนแล้วนักเรียนจะกระทำการกลับคืนได้บ้างหรือไม่ และยังตั้งคำถามที่ท้าทายอีกหลายประการ
ข้าพเจ้าสอบถามเนติวิทย์ได้ความว่าจดหมายฉบับดังกล่าวเขาเขียนขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2559 ขณะนั้นเขาเรียนอยู่ชั้น ม.6 หลังจากยื่นจดหมายให้กับผู้อำนวยการแล้วก็ไม่มีการลงโทษนักเรียนด้วยการกร้อนผมอีกเลย รวมทั้งนักเรียนชั้น ม.ต้น ก็ได้ไว้ผมรองทรงเช่นเดียวกับ ม.ปลาย แต่หลังจากนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนผู้อำนวยการคนใหม่ กฎระเบียบผมเกรียนก็ถูกนำกลับมาใช้กับนักเรียน ม.ต้นเช่นเดิม ทำให้เห็นว่าระเบียบทรงผมของโรงเรียนขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้อำนวยการแต่ละคน กฎอาจจะถูกวางไว้ดีแล้วแต่เมื่อเปลี่ยนผู้อำนวยการคนใหม่ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม กฎระเบียบไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎกระทรวงแต่อย่างใด
จดหมายกล่าวโทษผู้อำนวยการโรงเรียนเขียนโดยเนติวิทย์ ที่มา : เว็ปไซต์ Netiwit
https://www.netiwit.com/download-letter-against-haircut-violation/
5. คนที่เป็นรัฐมนตรีเขาคิดอะไรอยู่
28กุมภาพันธ์ 2562 ที่ จ.ระยอง เด็กชายชั้น ม.1 คนหนึ่งฆ่าตัวตายเพียงเพราะคำพูดของครูซึ่งกล่าวว่า “อาทิตย์หน้าสอบวันสุดท้าย นักเรียนที่ผิดระเบียบทั้งเรื่องทรงผมและเครื่องแต่งกายให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียนให้เรียบร้อยเพราะเป็นการสอบวันสุดท้ายก่อนปิดเทอมใหญ่”
แม้ครูจะมิได้บอกว่าถ้าไม่ตัดผมมาจะเกิดอะไรขึ้นแต่สิ่งที่เด็กชายรู้ดีก็คือครูไม่อนุญาตให้เข้าห้องสอบแน่นอน
ก่อนวันเกิดเหตุเด็กชายได้ขอเงินแม่ไปตัดผมแต่เมื่อไปถึงร้านตัดผมเขาพบว่าร้านตัดผมปิด เด็กชายกลับมาบ้านพูดกับแม่ว่า “พรุ่งนี้คงไม่ได้ไปสอบ” ในที่สุดเด็กได้ฆ่าตัวตายในเช้าวันรุ่งขึ้นเพียงเพราะคิดน้อยใจว่าถ้าไปโรงเรียนแล้วครูคงไม่ให้เข้าห้องสอบเพราะผมยาว ถ้าเช่นนั้นฆ่าตัวตายเสียดีกว่า3
12 มีนาคม 2562 ข้าพเจ้าเขียนจดหมายพร้อมกับล่ารายชื่อได้ 290 รายชื่อ ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขณะนั้นผู้ดำรงตำแหน่งคือ นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ จดหมายฉบับดังกล่าวขอให้กระทรวงมีการเข้าไปตรวจสอบและควบคุมโรงเรียน มิให้โรงเรียนเข้าไปเข้มงวดกับทรงผมของนักเรียน ให้นักเรียนมีอิสระในการไว้ผมหรืออย่างน้อยที่สุดเด็กชายสามารถไว้รองทรงได้ทุกระดับชั้น ส่วนเด็กหญิงสามารถซอยสั้นหรือไว้ยาวก็ได้ ในกรณีไว้สั้นก็ไม่มีการบังคับให้สั้นถึงติ่งหู ทั้งนี้โรงเรียน ครู อาจารย์ ต้องไม่เข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการละเมิดเส้นผมของนักเรียนเพราะเส้นผมของเด็กเป็นสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเด็ก ผู้ใดจะละเมิดมิได้4
หลังจากที่ข้าพเจ้ายื่นจดหมายไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแล้วประมาณหนึ่งสัปดาห์ให้หลังข้าพเจ้าทราบว่านายแพทย์ธีระเกียรติมีกำหนดเดินทางไปร่วมเสวนาเรื่อง “ถอดบทเรียนละครขุนเดช The Musical” ในวันที่ 22 มิถุนายน 2562 ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ข้าพเจ้าจึงเดินทางไปที่นั่นเพื่อสอบถามถึงจดหมายร้องเรียนที่ส่งไปและต้องการทราบความคืบหน้าของสิ่งที่ได้ร้องขอ
เมื่อพบตัวนายแพทย์ธีระเกียรติ ข้าพเจ้าจึงเข้าไปทักทายและเริ่มบทสนทนา
พระชาย :เจริญพร คุณหมอได้รับจดหมายร้องเรียนของอาตมาที่เขียนส่งไปถึงกระทรวงเรื่องทรงผมเด็กเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาไหม ?
รัฐมนตรี :จดหมายอะไรครับ ผมยังไม่ได้รับเลย
พระชาย :คืออย่างนี้ มีเด็กคนหนึ่งฆ่าตัวตายใน จ.ระยอง สาเหตุเพราะครูบอกว่าจะไม่ให้เข้าห้องสอบเนื่องจากผมยาว เด็กคนนั้นจึงผูกคอตาย (รมว. ธีระเกียรติ ทำหน้าตกใจ) ในจดหมายฉบับนั้นต้องการให้กระทรวงเข้าไปกวดขันโรงเรียนมิให้โรงเรียนเข้าไปเคร่งครัดเรื่องทรงผมของเด็กมากนัก
รัฐมนตรี :(พูดกับเลขา) เดี๋ยวกลับไปกระทรวงคุณช่วยไปตามจดหมายร้องเรียนของหลวงพี่มาให้ผมหน่อยนะ
พระชาย :หลัก ๆ ในจดหมายฉบับนั้นต้องการให้กระทรวงเข้าไปควบคุมโรงเรียนที่เข้มงวดเรื่องทรงผม หมอคิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมที่กระทรวงจะกำหนดให้โรงเรียนไม่เข้าไปเข้มงวดกับทรงผมของเด็กมากนัก หรืออย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้นักเรียนชายไว้รองทรงได้
รัฐมนตรี :มันเป็นอย่างนี้ครับหลวงพี่ เราจะไปบังคับโรงเรียนให้ไว้รองทรงไม่ได้ มันเป็นการกระจายอำนาจให้โรงเรียนไปจัดการกันเอง
เมื่อรัฐมนตรีตอบมาเช่นนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตั้งคำถามอะไรต่อเพราะดูเขาเร่งรีบที่จะเดินทางกลับและดูเขาไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องที่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึง ข้าพเจ้ารู้สึกสะท้อนใจหลายอย่างเกี่ยวกับบทสนทนากับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการท่านนี้
(1) เขาไม่ได้สนใจชีวิตของเด็กว่าเด็กจะฆ่าตัวตายเพราะความเข้มงวดของโรงเรียนว่าจะไปละเมิดเส้นผมเด็กเพียงใด เขาอาจจะตกใจเมื่อได้ยินเรื่องเด็กฆ่าตัวตาย แต่ถ้าจะต้องเอาเรื่องเด็กฆ่าตัวตายมาแลกกับการต้องเข้าไปกวดขันโรงเรียนที่เข้มงวดทรงผมเด็กซึ่งเป็นรากเหง้าของปัญหาละก็เขาคงไม่เสียเวลามาทำอะไรแบบนั้นเพราะมันดูเป็นเรื่องยุ่งยากไร้สาระ เขาจะไม่เหนื่อยไปกับสิ่งนี้ . นั่นแปลว่าชีวิตของเด็กมีค่าน้อยกว่ากฎระเบียบของโรงเรียน
จึงมีคำถามว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับลูกหลานของเขา ๆ จะนิ่งนอนใจแบบนี้หรือไม่ . บางทีเรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นกับลูกหลานของเขาเพราะเขามีฐานะมากพอที่จะไม่ส่งลูกหลานไปเรียนโรงเรียนของรัฐที่เต็มไปด้วยการใช้อำนาจลิดรอดสิทธิเสรีภาพ แต่จะส่งไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ หรือไม่ก็ส่งไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อโอกาสที่ดีกว่าจะได้ไม่ต้องมาเจอกับการใช้อำนาจในโรงเรียนไทยแบบนี้
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในต่างประเทศคนที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคงไม่นิ่งดูดายเหมือนกับรัฐมนตรีบ้านเราแน่ ๆ
(2) ผู้ที่มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีก็อาจจะแค่ดำรงตำแหน่งเฉย ๆ แม้จะมีภูมิหลังดี มีดีกรีเรียนจบจากต่างประเทศ เป็นแพทย์ หรือมีภริยาเป็นเจ้าของโรงเรียนนานาชาติ หรือจะมีใบประกาศสำคัญ ๆ เกี่ยวกับการศึกษาอะไรก็ตาม แต่เมื่อเข้ามาสู่การนั่งเก้าอี้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเขาก็อาจจะแค่ดำรงตำแหน่งเพื่อรับเงินเดือนเหยียบแสนไปวัน ๆ5
สิ่งใดที่เขาสามารถพัฒนาได้หรือสามารถเปลี่ยนแปลงได้เพื่อให้สิทธิเสรีภาพแก่นักเรียน ทำเพื่อให้สิทธิของเด็กไทยก้าวไปข้างหน้าเขาจะไม่ทำ เขาคงไม่เอาตำแหน่งที่มีไปเปลี่ยนแปลงระบบอำนาจนิยมที่มีอยู่เดิมซึ่งเขาคิดว่ามันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเพราะเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการเปลี่ยนแปลงตรงนี้
เขาเองรู้สึกสะดวกสบายไปกับระบบอำนาจนิยมที่มีอยู่ในโรงเรียนไทยเขาคงไม่เอาตัวเข้าไปขัดแย้งกับระบบระเบียนเรื่องทรงผมหรือบางทีคนที่มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไม่จำเป็นต้องมีสติปัญญาอะไรเลยก็ได้ เพียงแค่ดำรงตำแหน่งเพื่อรับเงินเดือนไปวัน ๆ อย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้
(3) ออก “คำสั่งผมเกรียน” นั้นสามารถทำได้ แต่พอขอให้ออก “คำสั่งรองทรง” กลับทำไม่ได้
สมัยที่มีการออกระเบียบผมทรงเกรียนในช่วงที่จอมพล ป. ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐตรี พ.ศ. 2482 หรือหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ก็ยังสามารถกระทำได้ แต่เหตุไฉนเมื่อวันเวลาผ่านไปขอให้กระทรวงใช้อำนาจควบคุมโรงเรียนให้นักเรียนชายอย่างน้อยได้ไว้รองทรงกลับตอบว่าทำไม่ได้ มันเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญอะไรนักหนากับการเปิดโอกาสให้เด็กชายได้ไว้รองทรง มันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ จะมีใครตอบคำถามที่แสนง่ายนี้ได้บ้าง ?
(4) จดหมายร้องเรียนที่ข้าพเจ้าเขียนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนก่อนคือหมายเลขตามภาพข้างล่าง
ข้าพเจ้าทราบดีว่าจดหมายร้องเรียนฉบับดังกล่าวไม่ได้รับการเอาใจใส่ในสิ่งที่ร้องขอ หากได้รับการเอาใจใส่ก็คงมีประกาศดี ๆ เกี่ยวกับทรงผมออกมาตั้งแต่ปีที่แล้วอันเป็นสมัยที่นายแพทย์ธีระเกียรติยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ทุกอย่างก็เงียบงัน ไม่มีอะไรให้ได้ยินกลับมา
หากรัฐมนตรีคนปัจจุบันสนใจจะนำปัญหาเรื่องการใช้อำนาจของโรงเรียนต่อทรงผมของนักเรียนไปสานต่อก็สามารถไปสืบค้นจดหมายร้องเรียนตามหมายเลขในภาพได้ ข้าพเจ้ายินดีเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีคนใหม่เข้ามาแก้ไขแม้เพิ่งจะมีการประกาศทรงผมออกไปเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็ถือว่ายังไม่สาย เพราะถ้าหากมีเด็กฆ่าตัวตายเพราะเรื่องทรงผมขึ้นมาอีกก็คงบอกได้คำเดียวว่ามันคือบาปกรรมของผู้มีอำนาจในกระทรวงนี้และเป็นบาปกรรมของโรงเรียนเท่านั้นเอง
บัตรรับเรื่องร้องเรียนจากกระทรวงศึกษาธิการ
เลขทะเบียน 975 วันที่ร้องเรียน 12 มีนาคม 2562 เวลาที่ยื่นจดหมาย 11.43
6. กร้อนผมเท่ากับข่มขืน
ต้นเดือนพฤษภาคมในช่วงไล่ ๆ กันกับที่มีการประกาศกฎกระทรวงเรื่องทรงผมมีข่าวที่น่าตกใจเกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนหญิงชั้นมัธยมอย่างน้อย 2 คนในเขตจังหวัดมุกดาหาร เธอทั้งสองถูกครู 5 คนล่วงละเมิดทางเพศ พร้อมด้วยศิษย์เก่าที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันอีก 2 คนร่วมกระทำชำเรา6 มันเป็นเรื่องที่ช็อคความรู้สึกเมื่อต้องเจอข่าวอะไรแบบนี้
การข่มขืนเป็นการทำร้ายร่างกายและจิตใจในเวลาเดียวกัน เป็นการทำผิดศีลข้อ 3 กาเมสุมิจฉาจารในความหมายที่ว่าเป็นการร่วมประเวณีโดยการบังคับขืนใจ ในเมื่อไม่มีความยินยอมพร้อมใจเกิดขึ้นก็แปลว่าเป็นการล่วงละเมิดโดยอัตโนมัติ ในข่าวบอกว่ามีการขู่บังคับเด็กว่าถ้าไม่ยอมจะให้เรียนซ้ำชั้น
ฉันใดเรื่องทรงผมก็ฉันนั้น ในกรณีกร้อนผมถ้าเด็กไม่ได้ยินยอมพร้อมใจที่จะให้ครูกร้อนผม นั่นเท่ากับเป็นการล่วงละเมิดเนื้อตัวร่างกายไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม
คงต้องบอกว่าครูไทย (บางท่านซึ่งมีจำนวนไม่น้อย) มีความเข้าใจน้อยมากในเรื่องสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเด็กจนน่าตกใจ เพราะครูมีความเข้าใจเรื่องนี้กันน้อยเราจึงเห็นภาพเด็กถูกไถผมปรากฏในสังคมออนไลน์จนชินตา เพราะครูไทยไม่เข้าใจเรื่องสิทธิในเนื้อตัวร่างกายจึงมีการกร้อนผมนักเรียนให้เห็นตลอด
เวลาเด็กถูกกร้อนผมเขารู้สึกทุกข์ใจไม่ต่างจากผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศมีความทุกข์ใจ เด็กรู้สึกโกรธที่ครูตัดผมของเขาจนแหว่งแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะครูมีอำนาจเหนือกว่า เหมือนกับผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศรู้สึกโกรธมากแค่ไหนก็ต้องเก็บความรู้สึกทุกข์ใจนั้นไว้จนอยากจะระเบิดมันออกมาเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม แต่เมื่อออกมาเรียกร้องความยุติธรรมก็ต้องเจอกับความไม่เข้าใจของสังคมรอบข้าง หาว่าโกหกบ้าง หาว่าทำลายชื่อเสียงของโรงเรียนบ้าง หาว่าทำตัวเองบ้าง
ภาพนักเรียนชายถูกกร้อนผมที่แชร์กันในสังคมออนไลน์
จะเห็นได้ว่าผมก็สั้นเรียบร้อยดีแต่ก็ยังถูกไถจนแหว่ง
เด็กที่ถูกกร้อนผมอยากจะออกมาบอกทุกคนว่ามันเป็นสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเขา แต่เมื่อออกมาก็ต้องเจอกับการถูกบอกว่าเส้นผมเป็นเรื่องเล็กน้อย เธอยังเด็กจะต้องไปสนใจความสวยความหล่อทำไม เธอเป็นเด็กก็ต้องตั้งใจเรียน กฎของโรงเรียนจะทำให้เธอมีระเบียบ ถ้าเธอทำตามไม่ได้ก็อยู่ร่วมสังคมนี้ไม่ได้ ไปตัดผมซะนี่เป็นกฎของโรงเรียน ถ้าไม่พอใจก็ไปเรียนที่อื่น คำพูดต่าง ๆ นานาเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เด็กที่ถูกกร้อนผมรู้สึกดีขึ้นแต่กลับทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลงเพราะไม่มีใครมองเห็นว่านี่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับ แม้แต่คนที่พูดประโยคเหล่านี้ออกมาถ้าเขาถูกกร้อนผมก็ย่อมรู้สึกเช่นเดียวกัน
การที่ครูกร้อนผมนักเรียนทำให้ความรู้สึกมีความสุขของเด็กต้องสูญหายไปไม่ต่างกับเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ .ในเชิงนิตินัยกฎระเบียบทรงผมของโรงเรียนได้ล่วงละเมิดเนื้อตัวร่างกายของนักเรียนไปเรียบร้อยแล้ว . เมื่อครูกร้อนผมนักเรียนหรือครูข่มขืนนักเรียนถือเป็นการล่วงละเมิดเนื้อตัวร่างกายนักเรียนในเชิงพฤตินัยเป็นลำดับถัดมา
เป็นเรื่องเศร้าไหมที่ลูกหลานของเราถูกล่วงละเมิดทั้งทางนิตินัยและพฤตินัยโดยโรงเรียนและบุคลากรในโรงเรียนเป็นผู้กระทำเสร็จสรรพ ?
เราควรตื่นรู้ว่าโรงเรียนได้ล่วงละเมิดลูกหลานของเราทั้งในทางนิตินัยและพฤตินัย ผู้ปกครองควรตื่นรู้แล้วลุกขึ้นมาปกป้องลูกหลานของท่านจากการถูกล่วงละเมิดโดยโรงเรียนผ่านกฎระเบียบทรงผม อย่าปล่อยให้ลูกหลานของท่านต้องถูกล่วงละเมิดผ่านกฎระเบียบโรงเรียนในเชิงนิตินัยเช่นนี้ต่อไป
ลำพังนิตินัยเด็กยังถูกละเมิด แล้วในเชิงพฤตินัยเด็กจะมีความปลอดภัยได้อย่างไร
ในทางกลับกันถ้าหากในทางนิตินัยเด็กได้รับความคุ้มครอง ในเชิงพฤตินัยก็เชื่อได้ว่าเด็กจะมีความปลอดภัยตามมาเพราะครูจะให้การปกป้องคุ้มครองสิทธิ์เนื้อตัวร่างกายของเด็ก
แต่ถ้าในเชิงนิตินัยโรงเรียนได้ละเมิดเด็กด้วยกฎระเบียบทรงผมเสียแล้ว ถ้าเช่นนั้นเนื้อตัวร่างกายส่วนอื่น ๆ ของเด็กคงไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะถูกกระทำย่ำยีอย่างไร
1 บทความ “เกรียนไทยมาจากไหน ? และทำไมทรงผมจึงกลายเป็นเครื่องแบบ ?”
https://thematter.co/thinkers/where-is-grean-thai-from/4504
2 “สั่งปรับทรงผมนักเรียน ยกเลิกเกรียน หญิงไว้ยาว”,
Mthai, https://news.mthai.com/general-news/211999.html)
3 เด็กชาย ม.1 เครียดแม่ไม่พาไปตัดผม คว้าเชือกผูกคอดับ, ข่าวสด,
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_2259641
4 จดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, คอลัมน์คุยเรื่องเพศกับพระชาย,
https://www.teenpath.net/content.asp?ID=21502#.XsMXH2gzbIU)
5 เปิดอัตราเงินเดือน-เงินประจำตำแหน่ง ครม., กะปุกด็อทคอม,
https://money.kapook.com/view98242.html
6 ครู 5 ศิษย์เก่า 2 รุมข่มขืนนักเรียนวัย 14, คิดดี วาไรตี้,
https://kiddeevariety9.com/archives/1287?fbclid=IwAR0ZWhykk3gASqqnmH152sFyJtp9UD7XCx1ismyxc0LvbOtALZZPF7jWIak