ก็ไม่ได้อยากโกหกหรอกนะ แต่พ่อ แม่ ไม่ยอมเชื่อใจเรานี่นา

161

        ปัญหาโลกแตกอีกข้อหนึ่งซึ่งดูจะแก้ได้ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนักคือ การสนทนาระหว่างลูกที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น กับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น พ่อ แม่ หรือ ผู้ปกครอง

          หลายคนเลยบ่นเสมอว่า เบื่อมาก ถูกบังคับให้ทำตามใจพ่อแม่ โดยที่ไม่มีโอกาสได้ทำอย่างที่อยากทำ ทั้งที่สิ่งที่ตัวเองอยากทำนั้น ก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่พ่อแม่กลับไม่ไว้วางใจ เช่น การขอไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อน ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ การใช้โทรศัพท์นานๆ การกลับบ้านดึก และอีกสารพัดสารพันเรื่องราว เพื่อนวัยรุ่นหลายคนเลยใช้ทางออกง่ายๆ คือ โกหก เพื่อให้พ่อแม่สบายใจและปล่อยให้ตนเองได้ทำอย่างที่ต้องการ ถ้าอยากไปเที่ยวกลางคืน ก็อ้างว่าจะไปนอนบ้านเพื่อนเพราะเป็นวันเกิดหรือต้องไปทำรายงาน พ่อแม่จะได้ยอมให้ไป

          ไม่ต้องบอก เพื่อนๆ ก็คงรู้ดีว่า เหตุผลที่พ่อแม่ไม่ยอมตามใจเราในหลายๆ เรื่องนั้นเพราะกลัวว่าจะเกิดอันตราย กลัวเราจะถูกเพื่อนพาไปในทางที่ผิด ซึ่งเป็นสิทธิของพ่อแม่นะที่จะกลัวเช่นนั้น เพราะเราคือลูกที่พ่อแม่รัก เพียงแต่อาจจะกลัวมากไปหน่อย นั่นก็เพราะพ่อแม่ตามไม่ทันหรือไม่เข้าใจถึงสภาพแวดล้อมของพวกเราซึ่งต่างจากสมัยของพ่อแม่มาก ท่านจึงเลือกวิธีกันไว้ดีกว่าแก้ ซึ่งย่อมดีกว่า วัวหายแล้วมาล้อมคอก…และนี่เองคือช่องว่างระหว่างเรากับผู้ใหญ่ เพราะเรามั่นใจว่า เรื่องที่เราทำนั้นไม่มีอันตราย เรารู้จักรับผิดชอบชั่วดี ในเมื่อมองกันคนละมุมแบบนี้ มีทางเดียวคือ โกหก

          แต่อย่าลืมสิว่า การโกหกเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ยังไงเสียก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ข้อสำคัญ เมื่อเราโกหกได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ต้องมีครั้งต่อไป และมักจะขยายจากเรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ ได้ไม่ยาก อีกอย่างนะ ถ้าโกหกแล้วถูกจับได้ คงจะยิ่งแย่ใหญ่ เพราะพ่อแม่จะไม่ไว้ใจเรามากขึ้น อาจจะคอยจ้องจับเราทุกฝีก้าว แล้วพอเราพูดความจริง ก็ต้องถูกมองด้วยสายตาสงสัยอย่างแน่นอน

ทำไงดีล่ะ…

          ไม่ว่าจะเป็นการขออนุญาต หรือบอกข่าวร้าย ก็ล้วนต้องมีกลยุทธ์หากอยากให้สถานการณ์ไม่เลวร้าย ใช้วิธีเหล่านี้ดูดีไหม น่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่า การโกหก หรือการอดได้ทำในสิ่งที่เรามั่นใจว่า ไม่เสียหาย …

          1. เลือกจังหวะเวลาที่เหมาะ อย่ารีบขออนุญาตหรือบอกข่าวร้ายให้พ่อแม่รู้ตอนที่ท่านเพิ่งถอดรองเท้าเข้าบ้านหรือกำลังจะรีบไปทำงาน หรือทำธุระสำคัญ และอย่าซ้ำเติมความรู้สึกพ่อแม่เลยนะ ถ้าพี่ชายตัวดีของเธอเพิ่งทำให้ท่านโมโหไปเมื่อวานนี้ หรือน้องสาวตัวแสบขออนุญาตไปเรียบร้อยแล้ว เธอก็ควรรออีกสัก 2-3 วัน ถึงจะหาโอกาสเจรจาในเรื่องที่คาใจเธออยู่

          2. ถ้าเป็นข่าวร้าย อย่าเลือกบอกวันศุกร์ (เพราะจะทำลายบรรยากาศวันหยุดให้ แป่ววว น่ะสิ) หรือเช้าวันจันทร์ (ซึ่งมักเป็นวันเครียดสุดๆ สำหรับคนที่ต้องไปทำงานนอกบ้าน)

          3. ลองซ้อมการแจ้งข่าวร้ายหรือขออนุญาตโดยหาโอกาสพูดกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ ก่อน เพื่อนจะดูปฏิกริยาว่า คนฟังทำหน้ายังไง จะได้วางกลยุทธ์ใหม่เมื่อต้องพูดกับพ่อแม่จริงๆ

          4. เวลาเล่าก็ทำให้พ่อแม่เข้าใจในตอนแรกก่อนนะว่า เป็นปัญหา หรือเรื่องของคนอื่น เพื่อฟังความคิดเห็นและให้พ่อแม่ได้มีเวลาวิเคราะห์ปัญหา เหตุการณ์เหล่านั้น แล้วก็ค่อยตะล่อมช้าๆ ว่า “เป็นเรื่องของหนูเองแหละค่ะ”

          5. ถ้าเป็นข่าวร้าย ต้องบอกให้พ่อแม่รู้หลังจากเล่าว่า เธอได้พยายามแก้ปัญหาด้วยตนเองแล้วอย่างไรบ้าง แต่มาถึงตาจนจริงๆ จึงต้องมาขอให้พ่อแม่ช่วย แม้ว่าปัญหานั้นอาจจะมาจากเพื่อนของเธอก็ตาม แต่เธอก็ต้องแสดงความรับผิดชอบให้พ่อแม่เห็นนะ

         6. พูดจากันด้วย “ภาษาดอกไม้” นะ ถึงแม้ปัญหานั้นจะร้ายแรงเพียงใด แต่ก็จะช่วยทุเลาความรู้สึกของคนฟังไปได้มาก อย่าใส่อารมณ์ อย่าโยนความผิด

         7. อืม เป็นวิธีที่ดีเหมือนกันนะ ถ้าจะเริ่มจาก “แม่คะ จำหนังเรื่องนั้นที่เราดูด้วยกันวันก่อนได้ไหม” หรือ “รายการสนทนาที่คืนก่อนแม่เปิดดูน่ะครับ ที่เค้าเล่าปัญหาเรื่อง…” การเอาเหตุการณ์ในหนัง ในหนังสือ ในรายการทีวีมาเป็นบทเริ่มต้นก็เพื่อช่วยเตือนพ่อแม่ทางอ้อมว่า เราไม่ใช่คนแรกของโลกหรอกนะที่ทำลงไป หรือต้องการจะทำเรื่องเหล่านี้ไง พ่อแม่จะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร

         8. ถ้ารู้สึกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นหนักหนาเกินกว่าจะเอ่ย ลองเขียนเป็นจดหมายไปหย่อนทิ้งไว้ในห้องนอนของพ่อแม่ก็ได้ เพราะการเขียนจะช่วยให้เรารวบรวมความคิด และพูดได้อย่างเป็นระบบมากกว่าการพูดนะ ถ้าเรื่องที่เกิดนั้นเกี่ยวพันกับหลายๆ สาเหตุ

        9. ถ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ลองใช้สายด่วนฮอทไลน์ที่รับปรึกษาปัญหาวัยรุ่น เล่าปัญหาให้คนนอกฟัง อาจจะช่วยเราได้เยอะทีเดียวนะโดยไม่ต้องบอกชื่อ นามสกุล ที่อยู่แก่คนฟัง

แสดงความคิดเห็น

Please enter your comment!
Please enter your name here