“บอกกี่ครั้งแล้วว่า ให้เก็บห้องให้เรียบร้อย รกแบบนี้จะหาของเจอได้ไงล่ะ !”
“วันๆ เอาแต่นั่งอยู่หน้าทีวีกับโทรศัพท์ ทำไมไม่หยิบหนังสือหนังหามาอ่าน มิน่าถึงสอบไม่ได้คะแนนดี”
“นี่ ทำไมถึงกลับบ้านค่ำนัก ไปเถลไถลที่ไหนมา”
“เป็นนักเรียนนะ ไม่ใช่นักเลง แต่งตัวไปโรงเรียนให้เรียบร้อยหน่อย”
“เมื่อไหร่จะจำสักที เรื่องที่สอนๆ ไปน่ะ พูดซ้ำซากหลายครั้งแล้ว”
…..โอ้ย อยากจะบ้า ทำไมคนเป็นพ่อเป็นแม่เนี่ยเขาถึงสรรหาเรื่องมาบ่นว่าเราได้ตลอดเวลานะ
…..ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พ่อแม่บ่นเพราะรัก เพราะห่วงใย… อะไรกัน จะห่วงกันทุกลมหายใจเข้า-ออกเลยหรือไง
เชื่อเถอะว่า ที่พ่อแม่บ่นนั้น บ่นด้วยความรัก ความห่วงใย และ ….ปนความหงุดหงิดที่เห็นอะไรขัดหูขัดตาไงล่ะ…
ทำไงได้
พ่อ แม่ ต่างถือว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนดูแลครอบครัว ฉะนั้น จึงต้องเป็นผู้คุมกฎ ระเบียบ วินัย ในบ้านที่พ่อแม่สร้างขึ้นมา และผู้ใหญ่ก็มักคิดแบบนี้เสมอแหละว่า
“ถ้าไม่ดุ ไม่ว่า อีกหน่อยก็เคยตัว เสียนิสัย”
เรื่องเล็กๆ ในความคิดของพวกเรา เช่น การทิ้งข้าวของเกลื่อนกลาด ชอบคุยโทรศัพท์กับเพื่อนมากกว่านั่งอ่านหนังสือเรียน อยากนอนตื่นสายๆ ไม่อยากลุกมาทำงานบ้าน ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ในสายตาของพ่อแม่
และนี่เองคือ ความเห็นที่ขัดแย้งระหว่างเรากับ…พ่อแม่..นั่นเอง
ที่สำคัญ
ตอนนี้เราเริ่มรู้สึกว่า เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ พ่อแม่ทำไมต้องมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชอยู่เรื่อยๆ รู้แล้วน่ะว่าต้องทำอะไรบ้าง..เพียงแต่ยังไม่มีอารมณ์ทำ..ก็เท่านั้นเอง
แต่อย่าลืมสิว่า เรายังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แม้จะเลยวัยเด็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้..มาแล้วก็ตาม
เรายังต้องขอเงินพ่อแม่ไปโรงเรียน
เรายังรู้สึกอบอุ่นใจเมื่อกลับมาบ้าน แล้วมีกับข้าวตั้งรออยู่
แล้วยังมีเรื่องอีกมากมายที่เรา “ไม่ค่อยแน่ใจ” นักว่าจะทำไง ต้องให้พ่อ แม่ ช่วยตัดสินใจให้
พ่อ แม่ อาจชอบมาวุ่นวายเรื่องส่วนตัว ก็เพราะความเป็นห่วง…กลัวว่าเราจะไปทำอะไรไม่ดีน่ะสิ (คิดดูนะว่า การได้ยินเสียงบ่นของพ่อแม่นั้น…น่าจะดีกว่าเพื่อนบางคนที่นานๆ จะเห็นหน้าพ่อ แม่ สักครั้งไหม)
วิธีที่จะช่วยลดเสียงบ่นของพวกผู้ใหญ่น่ะเหรอ
อย่างแรกเลย…ก็คงต้องยอมรับว่า ทุกบ้านย่อมมีกฎ แล้วเราก็ต้องปฏิบัติตามในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบ้าน เช่น การทำความสะอาด การช่วยงานบ้านตามหน้าที่ที่ได้รับ
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง เช่น การแต่งตัว การใช้เวลากับเพื่อน(มากเกินไปในสายตาพ่อแม่ แต่สำหรับเรา…ยังไม่พอเลยอ้ะ)
เห็นที เราต้องทำให้พวกพ่อแม่ไว้วางใจให้ได้ว่า ถึงจะคุยโทรศัพท์จนสายแทบไหม้ แต่ก็ไม่เปลืองเงินค่าโทรศัพท์แน่นอน และเราก็ยังตื่นไปโรงเรียนได้ตามปกติ …คิดว่าไง…ทำได้ไหม
หรือถ้าตื่นเช้าทุกวัน คงเป็นเรื่องลำบาก ลองคุยกับพ่อแม่สิว่า..ขอคุยกับเพื่อนทางโทรศัพท์จนถึงเช้าในวันที่รู้ว่ารุ่งขึ้นไม่ต้องไปโรงเรียน…จะได้ไหม
ส่วนการแต่งตัว ถ้าเกี่ยวกับโรงเรียน ก็บอกพ่อแม่ว่า อยู่โรงเรียน ยังไงก็ต้องแต่งเรียบร้อย..ไม่งั้นโดนครูฝ่ายปกครอง…เล่นงานแน่… แต่ก่อนเข้าเรียนกับตอนออกจากโรงเรียน…มันก็อาจจะไม่เรียบร้อยบ้าง..นิดหน่อยเองน่าแม่..อย่าห่วงเลย …
แต่ถ้าเป็นแฟชั่นวันหยุด…ลองขอร้องกับพ่อแม่ว่า…ถ้าแต่งตามใจพ่อแม่ ถูกเพื่อนโห่แน่เลย…ขอให้ลูก “อินเทรนด์” เถอะ ไม่ได้ไปทำผิดคิดร้ายกับใครสักหน่อย…ใช่ไหมพ่อ
เรื่องทั้งหมดที่พูดมานี้ ว่าไปแล้วมีเคล็ดลับง่ายๆ อยู่ที่
ต้องทำให้พ่อแม่ไว้ใจ เชื่อใจ….เขาถึงจะได้ไม่บ่นเรา…
วัยวุ่น เอ๊ย วัยรุ่นอย่างพวกเราก็ลองทบทวนตัวเองกันดีไหมว่า…เราทำได้จริงหรือเปล่า….ที่ให้พ่อแม่ไว้ใจเราน่ะ เขาจะได้เชื่อซะทีว่าเรา…โตแล้ว..จริงๆ นะ…